คำสอนเกี่ยวกับการสวดภาวนา – 30: การอธิษฐานภาวนาที่เปล่งออกจากปาก
อรุณสวัสดิ์ ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย
การอธิษฐานภาวนาเป็นการเสวนากับพระเจ้าและทุก ๆ สรรพสัตว์ในความหมายหนึ่งก็เป็น “การเสวนา” กับพระเจ้า สำหรับมนุษย์การอธิษฐานภาวนากลายเป็นคำพูด เป็นการวิงวอน เป็นบทเพลงสรรเสริญ เป็นบทกวี… พระวจนาตถ์เสด็จมารับสภาพมนุษย์ และในร่างกายของมนุษย์แต่ละคนพระวจนาตถ์กลับไปสู่พระเจ้าในการอธิษฐานภาวนา
พวกเราสรรค์สร้างคำพูดขึ้นมา คำพูดเปรียบประดุจมารดาของพวกเราด้วย และด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งช่วยหล่อหลอมพวกเรา คำพูดในการอธิษฐานภาวนาช่วยให้พวกเราเดินทางโดยปลอดภัยผ่านหุบเหวแดนมืดมิด นำทางพวกเราไปสู่ทุงหญ้าอันเขียวขจี ซึ่งมากมายไปด้วยธารน้ำ และทำให้พวกเราสามารถเฉลิมฉลองอยู่ภายใต้สายตาของศัตรูดังที่บทเพลงสดุดีสอนใจพวกเรา (เทียบ สดด. 23) คำพูดเกิดจากความรู้สึก ทว่าก็ยังมีหนทางกลับกันซึ่งคำพูดหล่อหลอมสร้างความรู้สึก พระคัมภีร์สอนประชากรให้สร้างหลักประกันว่าทุกสิ่งจะกระจ่างฃิ้นโดยอาศัยคำพูด และไม่ยกเว้นสิ่งใดที่เกี่ยวกับมนุษย์ที่ถูกกลั่นกรอง ที่สำคัญที่สุดก็คือความเจ็บปวดเป็นสิ่งอันตราย หากเก็บซ่อนไว้และปิดบังไว้ภายในตัวเรา… ความเจ็บปวดที่เก็บซ่อนไว้ในตัวพวกเราที่ไม่สามารถแก้ไขได้นั้นสามารถเป็นยาพิษให้กับวิญญาณได้ พิษร้ายอาจแทรกซึมทำให้พวกเราถึงแก่ความตายได้
นี่คือเหตุผลที่พระคัมภีร์สอนให้พวกเราต้องสวดภาวนา บางครั้งถึงกับต้องใช้คำพูดที่กล้าหาญ ผู้เขียนที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องการหลอกลวงพวกเราเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ของบุคคล พวกเขาทราบว่าหัวใจของพวกเรายังสามารถที่จะเก็บความรู้สึกต่าง ๆ ที่ไม่ดีไว้แม้กระทั่งความเกลียดชัง ไม่มีผู้ใดในพวกเราที่เกิดมาเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อความรู้สึกด้านลบเหล่านี้มาเคาะที่ประตูหัวใจของพวกเรา พวกเราต้องสามารถที่จะเอาชนะความรู้สึกด้านลบด้วยการสวดภาวนาและพระวาจาของพระเจ้า พวกเรายังพบคำพูดที่รุนแรงมากมายเกี่ยวกับศัตรูในบทเพลงสดุดี – เป็นคำพูดที่ผู้นำฝ่ายวิญญาณเหล่านั้นสอนพวกเราให้ใช้กับเหล่าปิศาจซาตานและบาปของพวกเรา – นั่นก็เป็นคำพูดที่เป็นสิ่งจริงของความเป็นมนุษย์ของพวกเราและไปลงเอยที่หนังสือพระคัมภีร์ คำพูดคำบรรยายมีอยู่ในนั้นเพื่อเป็นประจักษ์ให้แก่พวกเราว่า การใช้คำพูดเหล่านั้นซึ่งไม่ได้เป็นอันตรายแก่ผู้ใดจะมีการใช้กันอยู่จนทั่วโลก
คำภาวนาแรกของมนุษย์จะเป็นการท่องจำด้วยปากเสมอ ริมฝีปากจะต้องขยับเป็นอันดับแรก แม้ว่าพวกเราจะรับรู้ว่าการสวดภาวนาไม่ได้หมายถึงการพูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา ทว่าการสวดภาวนาด้วยปากก็ยังเป็นวิธีที่แน่นอนที่สุด และสามารถปฏิบัติได้เสมอ ส่วนอีกมุมมองหนึ่งนั้นความรู้สึกแม้จะสูงส่งเพียงใดก็ไม่แน่ไม่นอนเสมอไป สิ่งต่าง ๆ มาแล้วและก็อันตธารหายไป สิ่งนั้นจากพวกเราไปแล้วสิ่งนั้นก็หวนกลับมาอีก ไม่เพียงแค่เท่านั้น พระหรรษทานแห่งการสวดภาวนาก็ยังเดาไม่ถูก บางครั้งก็เป็นความบรรเทาใจ แต่ในวันที่มืดมนที่สุดการภาวนาดูเหมือนจะระเหยไปอย่างสิ้นเชิง การสวดภาวนาของหัวใจนั้นเป็นเรื่องเร้นลับ และในบางครั้งก็เปิดเผยความเร้นลับ ตรงกันข้ามการสวดภาวนาด้วยปากที่กระซิบแบบส่วนตัวหรือที่เป็นกลุ่มเป็นคณะก็เป็นสิ่งที่ทำได้เสมอ และเป็นสิ่งที่จำเป็นด้วย คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกสอนพวกเราเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยยืนยันว่า “การสวดภาวนาด้วยปากเป็นปัจจัยสำคัญแห่งชีวิตคริสตชน พร้อมกับบรรดาศิษย์ของพระองค์ที่ถูกดึงดูดด้วยการสวดภาวนาอย่างเงียบๆ กับพระอาจารย์ พระเยซูคริสต์ทรงสอนพวกเขาให้สวดบทข้าแต่พระบิดาด้วยปาก” (ccc ข้อ 2701) “โปรดสอนพวกเราให้รู้จักสวดภาวนา” ศิษย์ขอร้องพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูคริสต์ก็ทรงสอนให้พวกเขาสวดภาวนาด้วยปาก “บทข้าแต่พระบิดาฯ” และทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นก็อยู่ในบทภาวนานั้น
พวกเราทุกคนควรมีความสุภาพ ตามแบบอย่างของผู้อาวุโสบางคนที่อยู่ในพระศาสนจักรเพราะการฟังของเขาไม่ค่อยจะเที่ยงตรงนัก ซึ่งบางทีพวกเขาจะสวดภาวนาแบบเงียบๆ ที่พวกเขาเรียนรู้มาตั้งแต่ที่ยังเป็นเด็ก การสวดภาวนาดังกล่าวไม่ได้ไปรบกวนความเงียบ แต่เป็นประจักษ์พยานถึงความซื่อสัตย์ของพวกเขาถึงหน้าที่ในการสวดภาวนาที่พวกเขาปฏิบัติกันมาตลอดชีวิตโดยไม่เคยพลาด ผู้ที่สวดภาวนาด้วยความสุภาพเช่นนี้บ่อยครั้งคือผู้วิงวอนที่ยิ่งใหญ่ในวัด พวกเขาเป็นต้นไม้โอ๊กที่ปีแล้วปีเล่าก็ยังแตกกิ่งก้านสาขาเพื่อให้ร่มเงากับผู้คนจำนวนมาก มีเพียงแค่พระเจ้าเท่านั้นที่ทราบว่าเมื่อใดและและมากน้อยเพียงใดที่ดวงใจของพวกเขาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับคำภาวนาเหล่านั้นที่พวกเขาสวด แน่นอนว่าเขาเหล่านี้ต่างก็ต้องเผชิญกับราตรีอันยาวนาน และเวลาที่ตนรู้สึกว่างเปล่า แต่เขาก็สามารถที่จะยึดติดกับสายสมอยืนหยัดซื่อสัตย์ต่อการสวดภาวนาด้วยปาก ซึ่งเหมือนกับสายสมอเรือยืนหยัดอยู่ในความซื่อสัตย์ไม่ว่าสิ่งใดหรือสถานการณ์ใดจะเกิดขึ้นก็ตาม
พวกเราทุกคนมีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องเรียนรู้จากการยืนหยัดของนักจาริกแสวงบุญชาวรัสเซียนที่มีการพูดถึงในหนังสือที่ว่าด้วยชีวิตฝ่ายจิต ซึ่งเป็นผู้ที่รู้จักศิลปะแห่งการสวดภาวนาด้วยการกล่าวย้ำคำภาวนาสั้นๆอยู่เสมอ “ข้าแต่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าของลูก โปรดเมตตาลูกทั้งหลายผู้เป็นคนบาปด้วยเทอญ” (เทียบ CCC, ข้อ 2616, 2667) พวกเขาย้ำคำภาวนาสั้นๆ นี้แต่เพียงอย่างเดียว “ข้าแต่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าของลูก โปรดเมตตาลูกทั้งหลายผู้เป็นคนบาปด้วยเทอญ” ถ้าหากพระหรรษทานหลั่งไหลมาสู่ชีวิตพวกเรา ถ้าหากวันหนึ่งการสวดภาวนาทำให้พวกเรารู้สึกอบอุ่นจนพวกเราเข้าใจว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางพวกเรา ถ้าหากวิสัยทัศน์นั้นสามารถเปลี่ยนทำให้ตัวพวกเราเป็นเสมือนเด็ก ๆ นั่นเป็นเพราะว่าพวกเรายืนหยัดอยู่ในการสวดภาวนาด้วยการท่องบทสวดแบบง่ายๆ ของคริสตชน ในที่สุดแล้วจะกลายเป็นส่วนหนึ่งแห่งการหายใจของพวกเรา นี่เป็นสิ่งที่สวยงามเรื่องราวของนักแสวงบุญชาวรัสเซียน เป็นหนังสือที่ทุกคนหาอ่านได้ พ่อขอแนะนำพวกลูกอ่านหนังสือเล่มนี้ ซึ่งจะช่วยให้พวกลูกสามารถเข้าใจว่าการสวดภาวนาด้วยปากคือสิ่งใด
ดังนั้นพวกเราจะต้องไม่ละเลยในการสวดภาวนาด้วยปาก พวกลูกบางคนอาจกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องสำหรับเด็ก ๆ สำหรับชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องราว ไม่ประสีประสา ตัวฉันแสวงหาการสวดภาวนาด้วยจิตใจแบบลุ่มลึก ด้วยการรำพึง ด้วยมิติภายในเพื่อที่พระเจ้าจะได้ฟังฉัน…” โปรดอย่าได้หลงตัวเองในความเย่อหยิ่งด้วยการดูหมิ่นการสวดภาวนาด้วยปากแบบเรียบง่ายธรรมดา ๆ อันเป็นคำภาวนาของบุคคลที่ซื่อๆ ง่าย ๆ เป็นบทภาวนาที่พระเยซูคริสต์ทรงสอน ข้าแต่พระบิดา พระองค์สถิตในสวรรค์… คำพูดที่พวกเรากล่าวออกมาพระองค์จูงมือพวกเราไป บางครั้งสิ่งนี้จะช่วยฟื้นฟูรสนิยมของพวกเรา จะช่วยแม้กระทั่งปลุกให้หัวใจของพวกเราตื่นจากการหลับไหล จะช่วยปลุกความรู้สึกของพวกเราที่พวกเราลืมไป และคำพูดเหล่านี้จะจูงมือพวกเราให้ได้มีประสบการณ์อันลึกซึ้งกับพระเจ้า และที่สำคัญเป็นสิ่งแน่นอนว่าการสวดภาวนาเหล่านั้นเป็นการตอบสนองสิ่งที่พระเจ้าต้องการที่จะได้ยิน พระเยซูคริสต์ไม่ได้ปล่อยให้พวกเราหลงอยู่ในเมฆหมอก พระองค์สอนพวกเรา “จงสวดภาวนาเช่นนี้แล้วพระองค์ก็ทรงสอนพวกเราให้สวดบทภาวนาของพระเยซูคริสต์” (เทียบ มธ. 6: 9)
พระสันตะปาปาทรงกล่าวต้อนรับผู้ติดตามเข้าเฝ้าแบบทั่วไป
ขอต้อนรับประชาสัตบุรุษที่พูดภาษาอังกฤษ ในความชื่นชมยินดีแห่งการที่พระเยซูคริสต์ทรงกลับคืนพระชนม์ชีพ ขอพระเมตตาของพระบิดาเจ้าจงสถิตกับพวกลูกและครอบครัวของพวกลูก ขอพระเยซูคริสต์โปรดอวยพรลูก ๆ ทุกคน
สรุปการสอนคำสอนของพระสันตะปาปา
ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก ในการเรียนคำสอนของพวกเราเกี่ยวกับการสวดภาวนา วันนี้พวกเราจะพิจารณากันถึงการสวดภาวนาด้วยปาก ในการเสวนาของพวกเรากับพระเจ้า พระองค์จะตรัสกับพวกเราก่อนโดยอาศัยพระวจนาตถ์ผู้เสด็จมารับสภาพมนุษย์ พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้พวกเราพูดกับพระองค์บ้าง ด้วยคำพูดที่บ่งถึงความคิดลึกๆ อารมณ์ ความรู้สึก และประสบการณ์ของพวกเรา คำพูดไม่เพียงแค่จะแสดงถึงความคิดของพวกเราเท่านั้น ทว่าคำพูดนั้นยังจะหล่อหลอมชีวิตพวกเรา และบ่อยครั้งทำให้พวกเรามองเห็นตัวเราเอง ในคำพูดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากบทเพลงสดุดี พวกเราพบกับรูปแบบของการอธิษฐานภาวนาด้วยปาก ผู้นิพนธ์บทเพลงสดุดีใช้คำพูดเพื่อนำมาสู่พวกเรา ซึ่งรวมทั้งความชื่นชมยินดี ความกลัว ความหวัง และความจำเป็นต่างสู่พระเจ้า และแบ่งปันกับพระองค์ในทุกมิติแห่งชีวิตของพวกเรา การภาวนาจากภายในหัวใจและการภาวนาจากปากจะแยกออกจากกันไม่ได้ เฉกเช่นที่คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกสอนพวกเราว่า “การสวดภาวนาเป็นปัจจัยสำคัญแห่งชีวิตคริสตชน” (ข้อ 2701) โดยอาศัยคำภาวนาทั้งที่สวดหรือขับร้องไม่ว่าจะตามลำพังหรือเป็นชุมชน พวกเราจะพบกับคำพูดที่สามารถทำให้พวกเราเจริญเติบโตขึ้นทุกวันในความสัมพันธ์กับพระเจ้า การอธิษฐานภาวนาจึงกลายเป็นความจำเป็นส่วนหนึ่งอย่างเงียบๆ แห่งชีวิตดุจอากาศที่พวกเราหายใจ เมื่อศิษย์ขอให้พระเยซูคริสต์สอนให้พวกเขารู้จักสวดภาวนา พระองค์ทรงตอบด้วยการสอนพวกเขาและพวกเราด้วยบทสวด “ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลายฯ”
(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บการสอนคำสอนของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)