บทเทศน์ของพระสันตะปาปา
ณ อาสนวิหารจารีตคัลเดียน นักบุญโยเซฟในกรุงแบกแดด
วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม 2021
วันนี้พระวาจาพระเจ้าตรัสกับเราเรื่อง ปรีชาญาณ การเป็นประจักษ์พยาน และ พันธสัญญา
ปรีชาญาณในดินแดนภูมิภาคนี้ถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่โบราณกาล อันที่จริงการแสวงหาปรีชาญาณดึงดูดความสนใจของมนุษย์เสมอทั้งชายและหญิง ทว่าบ่อยครั้งผู้ที่มีฐานะดีกว่าสามารถหาความรู้ได้มากกว่าและมีโอกาสดีมากกว่า ในขณะที่ผู้ที่ฐานะด้อยก็จะไม่มีโอกาสดังกล่าว ความไม่เท่าเทียมกันดังกล่าวที่โหมแรงมากขึ้นในยุคของพวกเราเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ หนังสือปรีชาญาณทำให้พวกเราต้องประหลาดใจด้วยการกลับความคิดนี้ ซึ่งบอกพวกเราว่า “ผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดจะได้รับการอภัยด้วยพระเมตตา แต่ผู้ที่มีอำนาจวาสนาจะถูกทดสอบอย่างรุนแรง” (ปชญ. 6: 6) ในสายตาชาวโลกผู้ที่มีฐานะด้อยจะถูกมองข้ามในขณะที่คนมีฐานะดีจะเป็นอภิสิทธิ์ชน ทว่าไม่เป็นเช่นนี้สำหรับพระเจ้า ผู้ที่มีอำนาจมากกว่าจะถูกตรวจสอบอย่างเคร่งครัดกว่า ในขณะที่ผู้ที่ต่ำต้อยจะกลายเป็นอภิสิทธิ์ชน
พระเยซูคริสต์ผู้เป็นองค์แห่งปรีชาญาณได้ทรงกระทำให้สิ่งที่ตรงกันข้ามนี้ในพระวรสาร และพระองค์ทรงกระทำดังกล่าวด้วยปฐมเทศนาของพระองค์ คือ มหาบุญลาภแปดประการ (หรือความสุขแท้) ข้อความที่อยู่ตรงกันข้ามนี้ครบกระบวนการ คนยากจน คนที่เป็นทุกข์ คนที่ถูกรังแกเบียดเบียน ล้วนถูกเรียกว่าเป็นผู้มีบุญลาภ มีความสุขแท้ นี่เป็นไปได้อย่างไร? สำหรับชาวโลกต้องเป็นคนร่ำรวย คนที่มีอำนาจ และคนที่มีชื่อเสียง เขาจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ ต้องเป็นคนร่ำรวยและมีทรัพย์สมบัติมากมายจึงจะถือว่าเป็นผู้มีบุญมีสุข ทว่านี่ไม่ใช่ตรรกะสำหรับพระเจ้า ไม่ใช่คนร่ำรวยอีกต่อไปที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ แต่จะเป็นคนที่ยากจนในจิตใจ ไม่ใช่คนที่มีอำนาจบังคับผู้อื่น แต่จะเป็นผู้ที่สุภาพอ่อนโยนกับทุกคน ไม่ใช่ผู้ที่ประชาชนนิยมชมชอบ แต่จะเป็นผู้ที่แสดงความเมตตาต่อพี่น้องชายหญิง ณ บริบทนี้พวกเราอาจประหลาดใจ และถามว่า ถ้าหากฉันดำเนินชีวิตดั่งที่พระเยซูคริสต์ขอร้อง ฉันจะได้อะไร? นั่นไม่ใช่ปล่อยให้คนอื่นเป็นเจ้านายเอารัดเอาเปรียบฉันดอกหรือ? การเชื้อเชิญของพระเยซูคริสต์นั้นมีคุณค่าจริง ๆ หรือว่านั่นเป็นเรื่องเหลวไหล? การเชื้อเชิญนั้นไม่ใช่ไร้คุณค่า แต่ว่านั่นอันเป็นปรีชาญาณสูงส่ง
การเชื้อเชิญของพระเยซูคริสต์นั้นฉลาดหลักแหลมเพราะว่า นั่นคือความรักซึ่งเป็นหัวใจของคำสอนเรื่องมหาบุญลาภหรือความสุขแท้ แม้จะดูไม่เข้าท่าในสายตาชาวโลก ซี่งความจริงแล้วนี่คือชัยชนะ บนไม้กางเขนเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่านี่มีความเข้มแข็งมากกว่าบาป มากกว่าหลุมศพ เป็นการเอาชนะเหนือความตาย ความรักเดียวกันนี้ทำให้มรณะสักขีชนะต่อการทดสอบ และพวกเรามีมรณะสักขีมากสักเท่าใดในศตวรรษที่แล้ว มากว่ายุคใดๆ ในอดีต ความรักคือพลังของพวกเรา เป็นแหล่งพลังของบรรดาพี่น้องของพวกเรา ซึ่งในขณะนี้ต้องทนทุกข์เพราะความลำเอียง เอารัดเอาเปรียบและความขมขื่น การปฏิบัติที่ไม่ชอบธรรมและการเบียดเบียนเพราะพระนามของพระเยซูคริสต์ แต่อำนาจความรุ่งโรจน์และสิ่งฉาบฉวยเหล่านั้นผ่านไป ส่วนความรักจะคงยังมีอยู่ ถาวรเฉกเช่นที่นักบุญเปาโลสอนพวกเราว่า “ความรักไม่มีวันจบสิ้น” (1 คร. 13: 18) การดำเนินชีวิตที่หล่อหลอมด้วยมหาบุญลาภจึงเป็นการทำให้สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปกลับกลายเป็นสิ่งนิรันดร์เพื่อที่จะนำสวรรค์มาสู่ชาวโลก
ทว่าพวกเราจะปฏิบัติตามคำสอนมหาบุญลาภกันอย่างไร? คำสอนนี้ไม่ขอให้พวกเราต้องทำสิ่งใดเป็นพิเศษที่อยู่เหนือความสามารถของพวกเรา แต่ขอร้องให้พวกเราเป็นประจักษ์พยานทุกวัน ผู้มีบุญในที่นี้คือผู้ที่ดำเนินชีวิตด้วยความสุภาพอ่อนโยน เป็นผู้ที่แสดงความเมตตาไม่ว่าจะเป็นที่ใดที่เขาอยู่ ผู้ที่มีใจบริสุทธิ์ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด เพื่อที่จะเป็นผู้มีบุญพวกเราไม่จำเป็นต้องเป็นวีรบุรุษในบางโอกาส แต่ต้องเป็นประจักษ์พยานทุกวัน การเป็นประจักษ์พยานคือการสวมปรีชาญาณของพระเยซูคริสต์ นั่นแหละเป็นวิธีของการเปลี่ยนแปลงชาวโลก ไม่ใช่ด้วยการใช้พลังหรืออำนาจ แต่ด้วยบุญลาภ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำ พระองค์ทรงนำมาดำเนินชีวิตสิ่งที่พระองค์ตรัสสอนจนวาระสุดท้าย ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับการเป็นพยานต่อความรักของพระเยซูคริสต์ เป็นความรักเดียวกันที่นักบุญเปาโลอธิบายไว้อย่างสวยงามในบทอ่านที่สองของวันนี้ ขอให้พวกเราไตร่ตรองดูซิว่าเปาโลกล่าวไว้อย่างไร
ประการแรกเปาโลกล่าวว่า “ความรักนั้นอดทน” (ข้อ 4) พวกเราคงไม่คาดหวังที่จะเห็นคุณศัพท์คำนี้ ความรักดูจะเทียบได้กับความดี ความใจกว้าง และพฤติกรรมดี แต่เปาโลกล่าวว่า เหนือสิ่งใดความรักเป็นการอดทน ตั้งแต่แรกพระคัมภีร์พูดถึงความอดทนของพระเจ้า ตลอดเวลาแห่งประวัติศาสตร์มนุษย์มักไม่ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญากับพระเจ้า มักจะตกอยู่ในบาปเดิมๆ เสมอ แทนที่พระเจ้าจะเบื่อและก้าวหนีไปแต่พระองค์ยังคงซื่อสัตย์เสมอ ทรงให้อภัย และเริ่มต้นใหม่ ความอดทนเพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ในแต่ละครั้งเป็นคุณสมบัติประการแรกของความรัก เพราะความรักจะไม่เป็นสิ่งที่กวนใจแต่จะเป็นการเริ่มต้นใหม่เสมอ ความรักจะไม่รู้จักเบื่อหน่ายและหมดกำลังใจ แต่จะรังสรรค์เสมอ เมื่อเผชิญกับความชั่วร้ายความรักจะไม่ยอมแพ้หรือยอมจำนน ผู้ที่มีความรักจะไม่ปิดกั้นตนเองเมื่อสิ่งต่างๆ ผิดที่ผิดทาง ทว่าผู้ที่รักจะตอบโต้ความชั่วร้ายด้วยความดี ขอจงรำลึกถึงปรีชาญาณที่มีชัยแห่งไม้กางเขน ประจักษ์พยานของพระเจ้าจะเป็นเช่นนั้นจะไม่นิ่งเฉย หรือหรือปล่อยให้เป็นไปตามบุญตามกรรม ตรงกันข้ามพวกเขาจะมีความหวังเสมอเพราะเขาจะยึดมั่นอยู่ในความรักที่ ยอมรับทุกสิ่ง เชื่อในทุกสิ่ง หวังในทุกสิ่ง และอดทนในทุกสิ่ง” (ข้อ 5)
พวกเราอาจถามตัวของเราเองว่า พวกเรามีปฏิกิริยาต่อสถานการณ์ที่ไม่ถูกต้องอย่างไร? ท่ามกลางความเป็นอริศัตรูต่อกันมักจะมีการล่อลวงอยู่สองประการ ประการแรกคือหนีไปให้พ้น พวกเราอาจวิ่งหนีไป หันหลังให้เหตุการณ์เลวร้าย พยายามที่จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับบุคคลและสถานการณ์นั้น ประการที่สองคือการตอบโต้ด้วยความโกรธ ความแค้นด้วยการใช้กำลัง นี่เป็นกรณีของศิษย์ในสวนมะกอก ในความตกใจศิษย์หลายคนหลบหน้าหนีไป ในขณะที่เปโตรชักดาบออกมา ทว่าทั้งการหนีไปและการชักดาบไม่เกิดประโยชน์อันใด ส่วนพระเยซูคริสต์นั้นพระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ทรงเปลี่ยนอย่างไร? ด้วยอำนาจที่สุภาพแห่งความรัก ด้วยการเป็นประจักษ์พยานที่อดทน นี่คือสิ่งที่พวกเราถูกเรียกร้องให้ต้องปฏิบัติ และนี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้คำสัญญาของพระองค์สำเร็จลุล่วงไป
พันธสัญญาปรีชาญาณของพระเยซูคริสต์ที่ปรากฏในคำสอนเรื่องมหาบุญลาภเรียกร้องการเป็นประจักษ์พยาน และเสนอรางวัลที่มีอยู่ในพันธสัญญาของพระเจ้า เพราะบุญลาภแต่ละประการจะตามมาด้วยพันธสัญญา ผู้ที่ปฏิบัติตามจะได้รับพระอาณาจักรสวรรค์ พวกเขาจะได้รับความบรรเทา พวกเขาจะได้รับความพึงพอใจ พวกเขาจะได้เห็นพระเจ้า… (เทียบ มธ. 5: 3-12) พันธสัญญาของพระเจ้าเผยให้พวกเราเห็นถึงความชื่นชมยินดีอันหาใดเปรียบมิได้ และพวกเราจะไม่มีวันต้องผิดหวัง ทว่าการรับรางวัลจะสำเร็จลุล่วงไปได้อย่างไร? โดยอาศัยความอ่อนแอของพวกเรา พระเจ้าทรงทำให้เขาเหล่านั้นมีบุญที่เดินในหนทางแห่งความยากจนภายในจิตใจจนถึงที่สุด
นี่คือหนทางเดียวและไม่มี่หนทางอื่น ขอให้พวกเราดูแบบอย่างปิตาจารย์อับราฮัม พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานลูกหลานมากมายให้ท่าน แต่ท่านและและนางซาร่าเป็นคนชราและไม่มีบุตร เพราะว่าท่านทั้งสองเป็นบุคคลชราที่ซื่อสัตย์และอดทน พระเจ้าจึงทรงทำอัศจรรย์และประทานบุตรชายให้ท่านทั้งสอง ให้พวกเราดูแบบอย่างโมเสส พระเจ้าทรงสัญญาว่าโมเสสจะเป็นผู้ทำให้ประชากรเป็นอิสระจากการเป็นทาส และเพื่อที่จะทำเช่นนั้นพระองค์ทรงขอร้องให้โมเสสไปพูดกับฟาโรห์ แม้โมเสสจะบอกว่าตัวท่านเองเป็นคนพูดไม่เก่ง แต่ว่าเป็นด้วยคำพูดของที่พระเจ้าจะทรงทำให้พันธสัญญาของพระองค์สำเร็จไป ขอให้พวกเราดูแบบอย่างแม่พระของพวกเรา ซึ่งตามกฎหมายแล้วไม่อาจที่จะมีบุตรได้ แต่ก็ถูกเรียกร้องให้เป็นมารดา แล้วก็ขอให้พวกเราดูเปโตร ท่านปฏิเสธพระเยซูคริสต์ แต่ท่านก็เป็นบุคคลที่พระเยซูคริสต์เรียกร้องให้เป็นกำลังให้กับบรรดาศิษย์ ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก บางครั้งพวกเราอาจรู้สึกว่าพวกเราไม่สามารถช่วยอะไรได้ สิ่งเราเป็นคนไร้ค่า พวกเราไม่ควรที่จะยอมแพ้ เพราะพระเจ้าทรงต้องการทำสิ่งอัศจรรย์โดยอาศัยความอ่อนแอของพวกเรา
พระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะกระทำเช่นนั้น และคืนนี้พระองค์ทรงกล่าวคำว่า ţūb’ā [บุญลาภ] ถึงแปดครั้งเพื่อที่จะทำให้พวกเรารับรู้ว่าการอยู่กับพระองค์นั้นถือว่าพวกเรามีบุญลาภอย่างแท้จริง แน่นอนว่าพวกเรามีการถูกล่อลวงและพวกเราก็พ่ายแพ้บ่อยๆ แต่ขอให้พวกเราอย่าลืมว่าพร้อมกับพระเยซูคริสต์นั้นพวกเราเป็นผู้มีบุญลาภอย่างยิ่ง ไม่ว่าโลกจะมาผจญและเอาอะไรไปจากพวกเรานั้นไม่สำคัญเมื่อเปรียบเทียบกันกับความรักอันอ่อนหวาน และอดทนที่พระเจ้าทรงทำให้พันธสัญญาของพระองค์สำเร็จลุล่วงไป ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก บางครั้งเมื่อท่านมองไปทีมือของท่าน ดูเหมือนจะว่างเปล่า บางทีท่านจะรู้สึกหมดกำลังใจหรือรู้สึกไม่พอใจกับชีวิต หากเป็นเช่นนั้นก็จงอย่าได้กลัว บุญลาภนั้นมีอยู่เพื่อท่าน เพื่อท่านเผชิญความทุกข์ ที่หิวกระหายความยุติธรรม ที่ถูกเบียดเบียน พระเจ้าทรงให้สัญญากับท่านว่าชื่อของท่านถูกจารึกไว้ในดวงพระทัยของพระองค์และในสวรรค์แล้ว
วันนี้พ่อขอบคุณพระเจ้าพร้อมกับพวกท่าน เพื่อพวกท่าน เพราะ ณ ที่นี้ ปรีชาญาณเกิดขึ้นในโบราณกาล แม้ว่ามีประจักษ์พยานเกิดขึ้นมากมายในยุคสมัยของพวกเรา แต่ข่าวคราวไม่ค่อยให้ความสนใจ อย่างไรก็ตามทุกสิ่งที่เผชิญมีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ประจักษ์พยานซึ่งดำเนินชีวิตในคำสอนเรื่องมหาบุญลาภล้วนช่วยพระเจ้าทำให้พันธสัญญาแห่งสันติสุขของพระองค์สำเร็จลุล่วงไป
(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์ของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)