วันศุกร์, 15 พฤศจิกายน 2567
  

ทูตสวรรค์แจ้งข่าว (Angelus) วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2021 จากห้องสมุดวาติกัน

อรุณสวัสดิ์ ลูกๆ และพี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย

        พระวรสารของวันอาทิตย์นี้ (เทียบ มก. 1: 14-20) หากจะพูดไปแล้วก็เหมือนการส่งมอบ “คธา” จากยอห์นบัปติสต์ไปยังพระเยซูคริสต์ ยอห์นเป็นผู้เดินทางล่วงหน้าเตรียมหนทางให้กับพระเยซูคริสต์ โดยเริ่มทำพันธกิจด้วยการประกาศถึงความรอดซึ่งบัดนี้ได้มาถึงแล้ว  พระองค์ทรงเป็นองค์แห่งความรอด การเทศนาของพระองค์สรุปได้ด้วยคำพูดดังนี้ “เวลาได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงแล้ว จงเป็นทุกข์เสียใจในบาป และจงเชื่อต่อพระวรสาร” (ข้อ 15) พระเยซูคริสต์ไม่ได้เล่นกับคำพูด ทว่าเป็นคำพูดที่เชิญให้พวกเราไตร่ตรองในเนื้อหาที่มีความสำคัญยิ่งสองประการด้วยกันคือ เวลา และ การกลับใจ

        ในข้อความของมาร์โกผู้นิพนธ์พระวรสาร คำว่า “เวลา” ต้องเข้าใจว่าเป็นระยะเวลาของประวัติศาสตร์แห่งความรอดที่พระเจ้าทรงปฏิบัติพันธกิจ ดังนั้นเวลาที่ “ลุล่วงไป” คือการกระทำที่ช่วยให้พวกเรามรอดนั้นได้บรรลุถึงจุดสูงสุดแล้ว เป็นการกระทำที่ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว นี่เป็นเวลาแห่งประวัติศาสตร์ซี่งพระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มายังโลก และพระอาณาจักรของพระองค์ก็ “ใกล้เข้ามา” ยิ่งกว่าเดิมอีก เวลาแห่งความรอดสำเร็จลงแล้วเพราะพระเยซูคริสต์เสด็จมาแล้ว ทว่าความรอดไม่ใช่แบบอัตโนมัติ ความรอดเป็นพระหรรษทานแห่งความรัก และเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงถูกมอบให้กับเสรีภาพของมนุษย์ เมื่อพวกเราพูดถึงความรักพวกเราจะพูดถึงเสรีภาพเสมอ  หากความรักปราศจากซึ่งเสรีภาพ จะไม่ใช่ความรัก ทว่าอาจจะเป็นผลประโยชน์ อาจเป็นความกลัว อาจเป็นหลายสิ่งหลายอย่าง  สำหรับความรักจะต้องเป็นเสรีภาพเสมอ และเมื่อเป็นเสรีภาพ จึงเรียกร้องการตอบสนองด้วยเสรีภาพเช่นเดียวกัน ความรักเรียกร้องให้พวกเราต้องกลับใจ  ดังนั้นความรักหมายถึงการเปลี่ยนชีวิตจิตใจ นี่คือการกลับใจ คือการเปลี่ยนความคิดความอ่าน คือการเปลี่ยนแปลงชีวิต จะไม่มีการเลียนแบบฉบับของโลก แต่จะตามแบบฉบับของพระเจ้าซึ่งได้แก่พระเยซูคริสต์ ที่จะติดตามพระเยซูคริสต์ ดังที่พระองค์ได้ทรงกระทำและดังที่พระองค์ทรงสอนพวกเรา เป็นการเปลี่ยนทัศนคติอย่างสิ้นเชิง ความจริงบาปที่อันตรายคือบาปแห่งโลกีย์วิสัยที่เป็นเหมือนกับอากาศ เพราะมันแทรกซึมเข้าไปในทุกสิ่ง ก่อให้เกิดความคิดที่จะโน้มเอียงไปในทางที่เหนือผู้อื่นและเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า นี่เป็นเรื่องแปลก… อัตลักษณ์แท้จริงของพวกเราคืออะไร? บ่อยครั้งพวกเราจะได้ยินว่าอัตลักษณ์ของคนที่มีความหมกมุ่นในโลกียวิสัยจะแสดงออกมาในลักษณะ “ความขัดแย้ง”   เป็นการยากที่จะแสดงให้เห็นอัตลักษณ์ของคนที่มีทัศนคติแห่งโลกีย์วิสัยด้วยคำพูดเชิงบวก และในเชิงแห่งความรอด เพราะว่าเป็นการขัดแย้งกับตนเอง กับผู้อื่น และกับพระเจ้า และเพราะความโน้มเอียงทางบาปและโลกียวิสัยมักจะไม่รีรอที่จะใช้เล่ห์หลอกลวงและความรุนแรง พวกเราเห็นว่าสิ่งใดบ้างที่เกิดขึ้นกับการใช้เล่ห์และความรุนแรง ความโลภ การอยากมีอำนาจ ไม่บริการรับใช้ ชอบทำสงคราม การเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น… นี่คือจิตใจของคนที่ชอบใช้เล่ห์เหลี่ยม ซึ่งแน่นอนว่ามีต้นตอมาจากหัวคิดแห่งการหลอกลวง นักแสแสร้งผู้ยิ่งใหญ่ คือเจ้าซาตานนั่นเอง มันคือเจ้าพ่อแห่งจอมโกหกอย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงเรียกมัน

        ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนขัดแย้งกับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเชื้อเชิญให้พวกเรารับรู้ถึงตัวเราเองในฐานะที่พวกเราต้องการพระเจ้า และพระหรรษทานของพระองค์เพื่อที่พวกเราจะได้มีทัศนคติที่สมดุลเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติของโลก เพื่อที่พวกเราจะได้ให้การต้อนรับผู้อื่น และมีความสุภาพต่อผู้อื่น เพราะช่วงเวลาที่พวกเรามี ในการที่พวกเราสามารถจะได้รับความรอดนั้นช่างสั้น นั่นคือช่วงเวลาแห่งชีวิตของพวกเราในโลกนี้ ชีวิตของพวกเรานั้นสั้นมาก บางทีดูเหมือนว่าจะยาว… พ่อจำได้ว่าเคยไปโปรดศีลเจิมให้คนคนป่วยสูงอายุที่ดีคนหนึ่ง ตอนนั้นก่อนรับศีลมหาสนิทและศีลเจิม เขาพูดกับพ่อว่า “ชีวิตของผมกำลังจะบินไป” นี่คือสิ่งที่พวกเราคนชรารู้สึกว่าชีวิตกำลังจะผ่านไป ชีวิตต้องผ่านไป และชีวิตเป็นของขวัญแห่งความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้ของพระเจ้า แต่การมีชีวิตก็เป็นช่วงเวลาที่พวกเราจะต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงความรักของพวกเราต่อพระองค์ด้วย ด้วยเหตุนี้ทุกวินาที ทุกกรณีแห่งการมีชีวิตของพวกเราจึงเป็นเวลาที่มีค่าที่จะรักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์ และพวกเราจะเข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร

        ประวัติศาสตร์แห่งชีวิตของพวกเรามีสองจังหวะด้วยกัน จังหวะแรกวัดได้ด้วยชั่วโมง วัน ปี ส่วนจังหวะที่สองกอปรด้วยการพัฒนาไปตามเวลา กล่าวคือ เกิดแก่เจ็บตาย  ทุกระยะทุกภาคส่วนมีคุณค่าในตัวเอง และสามารถเป็นเวลาแห่งอภิสิทธิ์ที่จะได้พบกับพระเยซูคริสต์ ความเชื่อทำให้พวกเราได้พบกับความสำคัญฝ่ายจิตแห่งระยะเวลาเหล่านั้น แต่ละช่วงจะมีการเรียกร้องเป็นพิเศษของพระเจ้าซึ่งพวกเราสามารถที่จะตอบสนองในเชิงลบหรือเชิงบวก ในพระวรสารพวกเราเห็นแล้ว่า ซีมอน อันดรูว์ เจมส์ และจอห์นตอบสนองอย่างไร พวกเขาเป็นบุคคลที่มีวุฒิภาวะ พวกเขามีอาชีพเป็นชาวประมง พวกเขามีครอบครัว… แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ผ่านมาแล้วเรียกพวกเขา “พวกเขาก็ทิ้งอวนโดยทันทีแล้วติดตามพระองค์ไป” (มก. 1: 18)

        ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รัก  ขอให้พวกเราตั้งใจสักหน่อย อย่าปล่อยให้พระเยซูคริสต์ผ่านไปโดยที่พวกเราไม่ให้การต้อนรับพระองค์ นักบุญออกัสตินกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเกรงพระเจ้า ขณะที่พระองค์ดำเนินผ่าน” เกรงอะไรหรือ?  เกรงว่าจะจำพระองค์ไม่ได้ เกรงว่าจะไม่เห็นพระองค์ เกรงว่าจะไม่ให้การต้อนรับพระองค์

        ขอพระแม่มารีย์พรหมจารีโปรดช่วยให้พวกเราเจริญชีวิตในแต่ะวัน ในแต่ละวินาทีดุจเป็นเวลาแห่งความรอด ซึ่งพระเยซูคริสต์ทรงดำเนินผ่านและเรียกให้พวกเราติดตามพระองค์ไป และขอพระแม่ได้โปรดช่วยพวกเราให้กลับใจจากโลกีย์วิสัย เปลี่ยนแปลงจากความฟุ้งเฟ้อที่เป็นเสมือนดอกไม้ไฟไปสู่ความรักและการบริการรับใช้เทอญ    

หลังการสวดบททูตสวรรค์แจ้งข่าวพระสันตะปาปาทรงมีพระดำรัส ดังนี้

        ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก  วันอาทิตย์นี้มอบให้เป็นวันเฉลิมฉลองพระวาจาของพระเจ้า “ของขวัญ” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัยของพวกเราคือการพบกับพระคัมภีร์ในชีวิตของพระศาสนจักรในทุกระดับ ไม่เคยเป็นเช่นเยี่ยงวันนี้มาก่อนที่ทุกคนจะเข้าถึงพระคัมภีร์ได้ในทุกภาษาแม้กระทั่งในรูปแบบของวีดีโอและดีจิตอล นักบุญเยโรมแห่งคริสตศตวรรษที่ 16 กล่าวว่า บุคคลที่ไม่รู้จักพระคัมภีร์ก็ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ (เทียบ In Isiam Prol.) และตรงกันข้ามพระเยซูคริสต์ พระวจนาตถ์ “Logos” ผู้ทรงเสด็จมารับสภาพมนุษย์ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และเสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพ ผู้ทรงเปิดจิตใจพวกเราให้เข้าใจพระคัมภีร์ (เทียบ ลก. 24: 45) นี่เกิดขึ้นเป็นพิเศษในจารีตพิธี และเมื่อพวกเราสวดภาวนาเป็นการส่วนตัว หรือเป็นกลุ่มโดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยมีการอ่านพระคัมภีร์และบทเพลงสดุดี พ่อขอบใจและสนับสนุนวัดที่ยืนหยัดในการสอนประชาสัตบุรุษให้รู้จักฟังพระวาจาของพระเจ้า ขอให้พวกเราจงอย่าได้ขาดความชื่นชมยินดีในการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งพระวรสาร และขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าขอให้พวกเรามีนิสัยอันดีนี้ และพกพาหนังสือพระคัมภีร์เล่มน้อยๆ ไว้ในกระเป๋าของเราเสมอ เพื่อที่หาเวลาว่างอ่านในเวลากลางวันอย่างน้อยก็สามสี่วรรค ขอร้องให้พวกเรามีพระคัมภีร์ติดตัวเสมอ

        เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่เพิ่งผ่านมานี้ ห่างจากลานมหาวิหารนักบุญเปโตรเพียงไม่กี่เมตรมีชายชาวไนจีเรียนคนหนึ่งอายุ 46 ปี ซึ่งไม่มีบ้านชื่อนายเอ็ดวิน (Edvin) ถูกพบว่านอนตายอยู่เพราะความหนาว เหตุการณ์นี้เป็นหนึ่งในอีกหลายๆ เหตุการณ์ของคนที่ไม่มีบ้าน ซึ่งตายไปที่กรุงโรมด้วยเหตุผลเดียวกัน ขอให้พวกเราอธิษฐานภาวนาให้ ดวงวิญญาณของเอ็ดวิน (Edvin) ขอให้พวกเราได้รับคำเตือนใจจากสิ่งที่นักบุญเกรโกรี่ผู้ยิ่งใหญ่ ได้กล่าวไว้ ขอทานคนหนึ่งขอร้องก่อนตายเพราะความหนาวให้คิดถึงเขา เพราะพิธีบูชามิสซาขอบพระคุณจะไม่มีในวันนั้นเพราะเป็นวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ ขอให้พวกเราคิดถึงเอ็ดวินชายอายุ 46 ปีผู้นี้เขาคิดอย่างไรท่ามกลางความหนาวเหน็บ ที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ ถูกทอดทิ้ง แม้กระทั่งจากพวกเรา ขอให้พวกเราสวดภาวนานาสำหรับดวงวิญญาณของเขาด้วย

        ช่วงบ่ายของพรุ่งนี้ (25 มกราคม) ภายในมหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพง พวกเราจะมีพิธีทำวัตรเย็นโอกาสการกลับใจของนักบุญเปาโลหลังจากจบสัปดาห์อธิษฐานเพื่อความเป็นเอกภาพของบรรดาคริสตชนพร้อมกับผู้แทนของพระศาสนจักรและชุมชนคริสตชนนิกายอื่น ๆ พ่อขอเชิญชวนพวกเราให้ร่วมใจกันกับพ่อในการอธิษฐานภาวนาเพื่อเอกภาพของบรรดาคริสตชน

        วันนี้ (24 มกราคม) ยังเป็นวันที่พวกเรารำลึกถึงนักบุญฟรันซิส เดอ ซาเลส องค์อุปถัมภ์ของนักข่าวและสื่อสารสังคม เมื่อวานนี้สันตะสำนักได้ออกสาส์นวันสื่อสารสังคมภายใต้ข้อรำพึง “มา และ ดูสิ” ซึ่งเป็นการพบกับประชาชนในที่ที่พวกเขาอยู่และอย่างที่พวกเขาเป็น พ่อขอสนับสนุนให้นักข่าวทุกคนจง “ไป และดูซิ” ในที่ซึ่งไม่มีผู้ใดอยากไปและเป็นประจักษ์พยานต่อความจริง

        พ่อขอต้อนรับทุกคน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการสื่อสาร ขอส่งคำภาวนาไปยังครอบครัวที่ต้องดิ้นรนเป็นพิเศษในยามนี้ ขอให้กล้าหาญไว้ ขอให้พวกเราก้าวออกไป! ขอให้พวกเราภาวนาสำหรับครอบครัวเหล่านี้เท่าที่จะทำได้  ขอให้พวกเราเป็นกัลยาณมิตรของพวกเขา ขอให้ทุกคนมีความสุขในวันอาทิตย์ กรุณาอย่าลืมภาวนาสำหรับพ่อด้วย แล้วค่อยพบกันใหม่

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บคำปราศรัยของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)