วันศุกร์, 15 พฤศจิกายน 2567
  

บทเทศน์ของพระสันตะปาปาฟรานซิสในพิธีบูชาขอบพระคุณค่ำคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์สมโภชปัสกา

พิธีบูชาขอบพระคุณวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ภายในมหาวิหาร น. เปโตร ประธานพิธีโดยพระสันตะปาปาฟรานซิส 3 เมษายน 2021

        บรรดาสตรีคิดว่าพวกเขาจะพบพระศพเพื่อที่จะนำน้ำหอมไปชโลม แต่ตรงกันข้ามพวกเขาพบคูหาว่างเปล่า พวกเขาไปเพื่อแสดงความทุกข์เสียใจต่อผู้ล่วงลับไป ตรงกันข้ามพวกเขาได้ยินการประกาศถึงการมีชีวิตใหม่ เพราะเหตุนี้พระวรสารจึงบอกพวกเราว่า “บรรดาสตรีต่างพากันตกใจกลัวและประหลาดใจ” (มก. 16: 8) พวกเขากลัวจนตัวสั่นและประหลาดใจ ความกลัวนั้นปนกับความชื่นชมยินดีที่ทำให้หัวใจของพวกเขาบีบรัดเมื่อพวกเขาเห็นก้อนหินใหญ่ที่ปิดปากคูหาถูกกลิ้งออกไป ส่วนภายในคูหานั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาว ทุกคนตกตะลึกที่ได้ยินเสียงร้องว่า “อย่าได้กลัวเลย! ท่านหาพระเยซูคริสต์แห่งนาซาเร็ธที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ทรงกลับฟื้นคืนชีพแล้ว” (ข้อ 6) และยังมีสาส์นตามมาว่า “พระองค์เสด็จล่วงหน้าพวกท่านไปยังแคว้นกาลิลี ที่นั่นพวกท่านจะพบพระองค์” (ข้อ 7)  ขอให้พวกเรารับสาส์นนี้ไว้ นี่คือสาส์นแห่งปัสกา ขอให้พวกเราไปยังแคว้นกาลิลี ซึ่งพระเยซูคริสต์ผู้เสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ เสด็จไปที่นั้นล่วงหน้าพวกเรา ทว่านี่หมายความว่าอะไร “ให้ไปยังแคว้นกาลิลี”?

        การไปยังแคว้นกาลิลีประการแรกหมายถึง การเริ่มต้นใหม่สำหรับบรรดาศิษย์ของพระเยซูคริสต์หมายถึงกลับไปยังที่ที่เก่า ซึ่งพระเยซูคริสต์พบพวกเขาแล้วเรียกให้พวกเขาติดตามพระองค์ไป ณ ที่นั่นเป็นสถานที่ซึ่งพวกเขาพบพระองค์เป็นครั้งแรก และเป็นสถานซึ่งพวกเขาได้รับความรักเป็นครั้งแรก จากบัดนั้นเป็นต้นไปหลังจากที่ได้ทิ้งแหทิ้งอวนไว้เบื้องหลังแล้วพวกเขาก็ติดตามพระเยซูคริสต์ไป พวกเขาได้ฟังการเทศนาของพระองค์และเห็นอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำ แม้พวกเขาจะอยู่กับพระองค์เสมอพวกเขาก็ยังไม่เข้าใจพระองค์อย่างสมบูรณ์ บ่อย ๆ ครั้งพวกเขาเข้าใจผิดในพระวาจาของพระองค์ท่ามกลางการที่เผชิญหน้ากับไม้กางเขน พวกเขาละทิ้งและหนีจากพระองค์ไป ถึงกระนั้นก็ตามพระผู้เสด็จกลับฟื้นคืนชีพก็ยังปรากฎพระองค์ดุจชายคนหนึ่งที่เดินทางล่วงหน้าไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์เสด็จไปก่อนหน้าพวกเขา พระองค์ทรงยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาพร้อมกับเรียกร้องพวกเขาเสมอให้ติดตามพระองค์ไป พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ขอให้พวกเราเริ่มต้นจากจุดที่พวกเราเริ่ม ให้พวกเราเริ่มต้นกันใหม่ เราต้องการให้พวกท่านเริ่มต้นกับเราใหม่ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น” ณ แคว้นกาลิลีพวกเราเรียนรู้ถึงความรักอันไร้ขอบเขตของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเปิดหนทางใหม่ให้กับหนทางแห่งความพ่ายแพ้ของพวกเรา นี่แหละคือพระองค์  พระองค์ทรงสร้างหนทางใหม่ในหนทางแห่งความปราชัยของพวกเรา นี่แหละคือพระองค์ และพระองค์ทรงเชื้อเชิญให้พวกเราไปยังแคว้นกาลิลีเพื่อที่จะทำสิ่งนี้   

        นี่เป็นสาส์นแรกของปัสกาที่พ่อปรารถนาที่จะมอบให้พวกท่าน ในชีวิตเป็นไปได้เสมอที่จะเริ่มต้นใหม่เพราะพวกเราจะมีชีวิตใหม่เสมอ ชีวิตที่พระเจ้าจะปลุกให้ตื่นขึ้นในตัวของพวกเรา แม้ว่าพวกเราเคยเผชิญกับความล้มเหลวร้อยแปดพันประการ จากก้นบึ้งหัวใจของพวกเรา และเราแต่ละคนก็รู้ดีถึงก้นบึ้งแห่งหัวใจของพวกเราเอง พระเจ้าสามารถสร้างงานศิลป์จากเศษผงธุลีในความเป็นมนุษย์ของพวกเรา พระองค์สามารถที่จะเตรียมประวัติศาสตร์โฉมหน้าใหม่ได้ พระองค์ไม่เคยหยุดที่จะเดินไปข้างหน้าพวกเรา บนไม้กางเขนแห่งความทุกข์ทรมาน การถูกทอดทิ้งอย่างสิ้นเชิง และการเผชิญกับความตาย และในพระสิริรุ่งโรจน์แห่งชีวิตที่กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ ประวัติศาสตร์ถูกเปลี่ยนแปลงไปและมีความหวังใหม่เกิดขึ้นมา ในหลายเดือนของความมืดจากภัยโรคระบาด ขอให้พวกเราฟังพระเยซูคริสต์ผู้ทรงกลับฟื้นคืนชีพในขณะที่พระองค์ทรงเชิญให้พวกเราเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยไม่ให้สูญเสียความหวัง

        การเดินทางไปยังแคว้นกาลิลีนั้นยังหมายถึงการเริ่มเดินในหนทางใหม่อันหมายถึงการเดินห่างออกไปจากคูหาฝังศพ บรรดาสตรีไปหาพระเยซูคริสต์ในคูหาฝังศพ พวกเขาไปที่นั่นเพื่อระลึกถึงสิ่งที่พวกเขาเคยมีประสบการณ์กับพระองค์ ซึ่งบัดนี้ความหวังทั้งหมดหายวับไปกับตาตลอดกาล พวกเขาไปเพื่อแสดงออกถึงการเสียอกเสียใจของตนเอง ยังมีความเชื่อสิ่งใดบ้างที่สามารถกลายเป็นความทรงจำ สิ่งต่าง ๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยสวยสดงดงาม แต่บัดนี้ได้กลายเป็นเพียงความทรงจำไป หลายคนรวมถึงพวกเราด้วยมีประสบการณ์ เช่น “ความเชื่อในความทรงจำ” ราวกับว่าพระเยซูคริสต์เป็นเพียงบุคคลในอดีต และเป็นเพียงมิตรเก่าตั้งแต่สมัยที่ตนยังหนุ่ม ซึ่งบัดนี้กลายเป็นบุคคลที่อยู่ห่างไกล เป็นเพียงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนานมาแล้วสมัยที่เขาเป็นเด็กยังเรียนคำสอนอยู่ ความเชื่อนั้นอาจก่อให้เกิดเป็นเพียงนิสัย เป็นสิ่งที่มาจากอดีต เป็นเพียงความทรงจำสมัยเด็ก ๆ ที่น่ารัก แต่ไม่ได้เป็นความเชื่อที่กระตุ้นหรือท้าทายชีวิตของพวกเราได้อีกต่อไป ในอีกมุมมองหนึ่งการกลับไปยังแคว้นกาลิลีหมายถึงการรับรู้ถึงความเชื่อ ซึ่งถ้าหากยังมีชีวิตจะต้องหันกลับไปยังถนนเส้นทางเดิม จำเป็นต้องรื้อฟื้นการเดินทางก้าวแรกของพวกเราทุกวัน และในความประหลาดใจในการที่ได้พบกับพระเยซูคริสต์ และพวกเราต้องมีความไว้วางใจต่อไปโดยไม่คิดว่าพวกเรารู้ทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว  ทว่าขอให้น้อมรับด้วยใจสุภาพต่อทุกคนที่ยินยอมให้ตนเองได้รับความมหัศจรรย์ใจจากหนทางของพระเจ้า ปกติพวกเรามักจะกลัวความประหลาดใจของพระเจ้า พวกเรากังวลเสมอว่าพระเจ้าจะทรงทำให้พวกเราเกิดความประหลาดใจ  และวันนี้พระเจ้าทรงเชิญพวกเราให้ยินยอมที่จะได้รับความประหลาดใจ ขอให้พวกเราไปยังแคว้นกาลิลีเพื่อที่จะพบว่าพวกเราไม่สามารถผลักดันพระเจ้าให้หลุดพ้นไปจากความทรงจำในช่วงที่พวกเรายังเป็นเด็ก แต่พระองค์ยังทรงมีชีวิตและทรงทำให้พวกเราเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อพระองค์เสด็จฟื้นคืนชีพจากความตายแล้ว พระเยซูคริสต์ไม่เคยละเว้นที่จะทำให้พวกเราต้องประหลาดใจ

        ดังนั้นนี่คือสาส์นที่สองของปัสกา ความเชื่อไม่ใช่อัลบั้มของความทรงจำในอดีต พระเยซูคริสต์ไม่ใช่เป็นบุคคลและเรื่องราวที่ล้าสมัย พระองค์ทรงมีชีวิต ณ ที่นี่ และบัดนี้ พระองค์ทรงเดินเคียงข้างพวกเราทุกวันในทุกสถานการณ์ที่พวกเรามีประสบการณ์ ในการทดลองทุกอย่างที่พวกเราเผชิญและต้องทนทุกข์ ในความหวังและความฝันที่ลึกที่สุดของพวกเรา พระองค์ทรงเปิดประตูใหม่ในยามที่พวกเราความคาดหวังน้อยที่สุด พระองค์ทรงขอร้องไม่ให้พวกเรามัวแต่จมปลักเพียงฝันร้ายในอดีต หรือจมอยู่ในเล่ห์กลลวงของยุคปัจจุบัน แม้พวกเราจะรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังหมดสิ้นแล้ว ก็โปรดให้เราแต่ละคนเปิดหัวใจสู่สิ่งประหลาดใจในความใหม่ที่พระเยซูคริสต์จะนำมามอบให้พวกเรา ซึ่งแน่นอนว่าพระองค์จะทำให้พวกเราต้องประหลาดใจ

        การกลับไปยังแคว้นกาลิลียังหมายถึงการไปยังชายขอบสังคม กาลิลีเป็นจุดที่อยู่ห่างไกล ประชาชนดำเนินชีวิตอยู่ในภูมิภาคที่ห่างไกลจากกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งมีผู้คนหลากหลายและมีปัญหาร้อยแปด  แต่นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่พระเยซูคริสต์ทรงทำพันธกิจ  ที่นี่แหละพระองค์ทรงนำสาส์นไปสู่ผู้ที่ดิ้นรนต่อสู้เพื่อจะประทังชีวิตวันต่อวัน พวกเขาเป็นบุคคลที่ไม่มีผู้ใดเหลียวแล เป็นกลุ่มบุคคลที่เปราะบาง เป็นพวกคนยากจน ณ ที่นี้พระองค์ทรงเผยโฉมพระพักตร์และการประทับอยูของพระเจ้าไปให้ทุกคน ซึ่งพระองค์แสวงหาพวกเขาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทั้ง ๆ ที่พวกเขาพากันหมดกำลังใจและสิ้นหวัง เป็นพวกที่ดำเนินชีวิตอยู่ตามชายขอบสังคม ซึ่งในสายพระเนตรของพระองค์นั้นจะต้องไม่มีผู้ใดสินหวังหรือต้องไม่มีผู้ใดที่ถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง พระเยซูคริสต์ผู้เสด็จกลับฟื้นพระชนม์ชีพขอร้องให้ศิษย์ของพระองค์ไปยังที่นั่น ที่กาลิลีโดยทันที พระองค์ทรงขอให้พวกเราไปยังกาลิลี ไปยัง “กาลิลี” ที่แท้จริงในชีวิตประจำวัน ไปตามถนนหนทางที่พวกเราเดินอยู่ทุกวัน ไปยังทุกซอกมุมในเมืองของพวกเรา ณ ที่นั้นพระเยซูคริสต์ทรงไปประทับอยู่ก่อนหน้าพวกเราแล้ว และทรงประทับอยู่ในชีวิตของผู้ที่อยู่รอบตัวพวกเรา ผู้ที่มีชีวิตร่วมอยู่กับพวกเราทุกวัน อยู่ภายในบ้านของพวกเรา อยู่ภายในที่ทำงานของพวกเรา อยู่กับความทุกข์และอยู่กับความหวังของพวกเรา  ณ กาลิลีพวกเราจะเรียนรู้ว่าพวกเราสามารถพบพระเยซูคริสต์ ผู้เสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ ที่ใบหน้าของบรรดาพี่น้องชายหญิง ในความกระตือรือร้นของผู้ที่มีความฝัน และการยอมแพ้ของผู้ที่สิ้นหวัง ในการยิ้มแย้มของผู้ที่มีความชื่นชมยินดีและในน้ำตาของผู้ที่ความทุกข์ และที่สำคัญคือคนยากจน และคนที่อยู่ตามชายขอบสังคม พวกเราจะประหลาดใจว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เพียงใดที่ทรงเผยให้พวกเราเห็นในบรรดาคนที่ต่ำต้อย และความสวยงามของพระองค์ที่ฉายแสงรัศมีในคนยากจนและคนใสซื่อเรียบง่ายเช่นไร

        และนี่คือสาส์นประการที่สามแห่งปัสกา พระเยซูคริสต์พระผู้เสด็จฟื้นคืนพระชนม์ ทรงรักพวกเราโดยปราศจากขอบเขตเงื่อนไข และทรงประทับอยู่กับพวกเราในทุกวินาทีแห่งชีวิตของพวกเรา เมื่อทรงทำให้พระองค์ปรากฎอยู่ที่ใจกลางในโลกของพวกเราแล้ว พระองค์ทรงเชื้อเชิญพวกเราให้เอาชนะต่ออุปสรรค ให้ทำลายความลำเอียง และดึงดูดให้พวกเราเข้าใกล้ชิดกับบุคคลที่อยู่รอบตัวพวกเรา เพื่อที่จะพบกับพระหรรษทานแห่งชีวิตประจำวัน ขอให้พวกเรารับรู้ถึงพระองค์ในดินแดนกาลิลีของพวกเรา ในชีวิตประจำวันของพวกเรา ชีวิตของพวกเราจะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับพระองค์เพราะพระเยซูคริสต์ผู้เสด็จฟื้นคืนพระชนม์ทรงมีชีวิตและนำประวัติศาสตร์เหนือการปราชัยทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นความชั่วร้ายต่าง ๆ นานา หรือการใช้ความรุนแรง เหนือทุกสิ่งที่เป็นความทุกข์และความตาย พระอค์ผู้ทรงชีวิตและทรงนำทางประวัติศาสตร์แห่งความรอด

ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รัก หากในคืนนี้พวกท่านกำลังรู้สึกประสบกับความมืดมิดหนึ่งชั่วโมง วันเวลาอาจยังไม่ถึงรุ่งอรุณ มีเพียงแสงสลัว ๆ หรือความฝันสลาย ทว่า ณ บัดนี้ ขอให้เปิดหัวใจด้วยความประหลาดใจกับสาส์นอันสำคัญของเทศกาลปัสกาหรืออีสเตอร์ “อย่า กลัว เพราะพระองค์ฟื้นคืนพระชนม์แล้ว! พระองค์รอคอยพวกท่านที่แคว้นกาลิลี” ความคาดหวังของพวกท่านจะเปี่ยมด้วยความหวัง หยดน้ำตาของพวกท่านจะเหือดแห้งไป ความกลัวของพวกจะถูกแทนที่ด้วยความหวังอันกล้หาญ เพราะพระเจ้าทรงนำหน้าพวกท่านเสมอ พระองค์ทรงเดินนำหน้าพวกท่านเสมอ และพร้อมกับพระองค์ชีวิตอันสดใสจะเริ่มต้นใหม่เสมอ

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)