พระเยซูคริสต์ผู้เสด็จกลับคืนพระชนม์ทรงแสดงองค์แก่บรรดาศิษย์ในหลายโอกาส พระองค์ทรงเพียรทนบรรเทาใจพวกเขา พระองค์ทรงกลับคืนชีพแล้ว บัดนี้พระองค์ทรงนำมาซึ่ง “การกลับคืนชีพของบรรดาศิษย์ด้วย” พระองค์ทรงยกจิตใจของพวกเขาและชีวิตของพวกเขาก็มีการเปลี่ยนแปลง ก่อนหน้านั้นพระวาจาและแบบฉบับของพระองค์ยังไม่บรรลุผลในการทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงเท่าที่ควรจะเป็น บัดนี้ในวันปัสกามีสิ่งใหม่เกิดขึ้นและเกิดขึ้นในมิติแห่งความเมตตา พระเยซูคริสต์ทรงอุ้มชูพวกเขาขึ้นมาด้วยพระเมตตา หลังจากที่ได้รับพระเมตตานั้นแล้วพวกเขาก็มีความเมตตาเป็นการตอบแทน เป็นการยากที่จะมีความเมตตาหากปราศจากซึ่งประสบการณ์ที่ตนเองได้รับความเมตตามาก่อน
ประการแรก พวกเขาได้รับพระเมตตาโดยอาศัยของขวัญ 3 ประการ ประการที่หนึ่งพระเยซูคริสต์ทรงมอบสันติสุขให้กับพวกเขา ถัดมาก็เป็นของขวัญองค์พระจิต และสุดท้ายคือบาดแผลของพระองค์ บรรดาศิษย์ต่างพากันผิดหวัง พวกเขาอยูในห้องลั่นดานประตูเพราะความกลัว พวกเขากลัวที่จะถูกจับแล้วลงท้ายจะเป็นเหมือนพระอาจารย์ของตน แต่พวกเขาไม่เพียงแต่จะอัดกันอยู่เพีงแค่ภายในห้องอันคับแคบเท่านั้น พวกเขายังจิตตกและอยู่ในกับดักแห่งความโศกเศร้าเสียใจด้วย พวกเขาได้ทอดทิ้งและปฏิเสธพระเยซูคริสต์ พวกเขารู้สึกสูญสิ้นความหวัง หมดความน่าเชื่อถือ ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนว่าไร้สาระ ทุกสิ่งดูเหมือนไม่ได้เรื่องได้ราวสักอย่าง พระเยซูคริสต์เสด็จมาตรัสกับพวกเขาถึงสองครั้ง “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่าน” พระองค์ไม่ได้นำสันติสุขมามอบให้เพื่อขจัดปัญหาทั้งปวงออกไป ทว่าเป็นสันติสุขที่ประกอบด้วยความไว้ใจภายใน ซึ่งไม่ใช่สันติสุขภายนอก แต่ว่าเป็นสันติสุขแห่งหัวใจ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่าน! พระบิดาส่งเรามาฉันใดเราก็ส่งพวกท่านไปเช่นเดียวกัน” (ยน. 20: 21) ซึ่งเหมือนกับพูดว่า “เราส่งท่านไปเพราะว่าเราเชื่อใจในตัวท่าน” บรรดาศิษย์ที่หมดกำลังใจเหล่านั้นจึงมีสันติสุขกับตนเอง สันติสุขในพระเยซูคริสต์อันมีพลังเปลี่ยนแปลงพวกเขาจากความเศร้าเสียใจสู่พันธกิจ สันติสุขในพระเยซูคริสต์ก่อให้เกิดพันธกิจ ซึ่งไม่ได้หมายถึงความง่ายและความสะดวกสบาย แต่เป็นการท้าทายที่พวกเราต้องเอาชนะตนเอง สันติสุขในพระเยซูคริสต์ทำให้พวกเราเป็นไทจากการที่คิดถึงแต่ตนเอง ซึ่งทำให้พวกเรากลายเป็นง่อย นี่เป็นการท้าทายความสัมพันธ์ที่ทำให้หัวใจของพวกเราเหมือนคนติดคุก บรรดาศิษย์รับรู้อย่างดีว่าพวกเขาได้รับพระเมตตา พวกเขารับรู้อย่างดีว่าพระเจ้ามิได้ทรงสาปแช่งและดูหมิ่นดูแคลนพวกเขา แต่ตรงกันข้ามกลับเชื่อใจพวกเขา ความจริงแล้วพระเจ้าทรงเชื่อใจพวกเรามากกว่าที่พวกเราเชื่อในตัวเราเองเสียอีก “พระองค์ทรงรักพวกเรายิ่งกว่าที่พวกเรารักตัวเราเอง (เทียบ นักบุญ ยอห์น เฮนรี่ นิวแมน Meditation and Devotion, III, 12, 2) สำหรับพระเจ้าแล้วไม่มีผู้ใดที่ไร้ค่า ที่ไม่น่านับถือ หรือผู้ที่ต้องถูกตัดขาด วันนี้พระเยซูคริสต์ยังตรัสกับพวกเราว่า “สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่าน พวกท่านมีคุณค่าในสายพระเนตรของเรา สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่าน ท่านมีความสำคัญสำหรับเรา สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่าน ท่านมีพันธกิจ ไม่มีใครจะมาแทนที่ท่านได้และเราก็เชื่อในตัวพวกท่าน”
ประการที่สอง พระเยซูคริสต์ทรงแสดงพระเมตตาต่อบรรดาศิษย์ของพระองค์โดยการประทานพระจิตให้กับพวกเขา พระองค์ประทานพระจิตให้พวกเขาเพื่อการอภัยบาป (เทียบ ข้อ 22-23) บรรดาศิษย์มีมลทิน มีข้อตำหนิ พวกเขาวิ่งหนีไป พวกเขาทอดทิ้งพระอาจารย์ บาปนำความทรมานมาให้ ความชั่วมีราคาค่างวดของมัน ดังที่ผู้นิพนธ์บทเพลงสดุดีกล่าวไว้ว่า บาปของพวกเรา จะอยู่ต่อหน้าพวกเราเสมอ ด้วยลำพังตัวเราเองนั้นพวกเราไม่สามารถที่จะขจัดบาปออกไป มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะขจัดบาปและความชั่วร้าย มีเพียงพระองค์ด้วยพระเมตตาของพระองค์เท่านั้นที่สามารถจะทำให้พวกเราหลุดพ้นจากห้วงเหวแห่งความน่าสงสารของพวกเรา ดุจศิษย์เหล่านั้นพวกเราจำเป็นต้องยินยอมให้ตัวเราได้รับการอภัยเพื่อขออภัยโทษด้วยความจริงใจต่อพระเจ้า การให้อภัยในพระจิตเป็นของขวัญปัสกาที่สามารถทำให้พวกเรากลับคืนชีพใหม่ภายใน ขอให้พวกเราวิงวอนขอพระหรรษทานที่จะยอมรับของขวัญนี้ด้วยการรับศีลอภัยบาป และต้องเข้าใจศีลอภัยบาปนี้ไม่ใช่เกี่ยวกับตัวเราและบาปของพวกเราเท่านั้น แต่ต้องเกี่ยวกับพระเจ้าและพระเมตตาของพระองค์ ขอให้พวกเราไปสารภาพบาป บาปที่จะทำให้พวกเรารู้สึกต่ำลง เพื่อที่พวกเราจะได้ลุกขึ้นมาใหม่ เราทุกคนต้องการสิ่งนี้เป็นอย่างยิ่ง ดุจเด็กน้อยเวลาที่เขาล้มลงจำเป็นที่บิดาจะต้องช่วยให้เขาลุกขึ้นมา พวกเราก็ต้องเป็นเช่นเดียวกัน พวกเราเองก็ล้มลงบ่อยๆ และพระหัตถ์พระบิดาก็พร้อมที่จะพยุงให้พวกเรายืนขึ้นบนเท้าของพวกเราและทำให้พวกเราเดินหน้าต่อไป สิ่งที่แน่นอนและพระหัตถ์ที่ไว้ใจได้ก็คือพิธีอภัยบาป การสารภาพบาปเป็นเครื่องมือและเครื่องหมายอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะทำให้พวกเราลุกขึ้นมาใหม่ พระองค์จะไม่ปล่อยให้พวกเราล้มแช่อยู่กับพื้นดิน นั่งร้องไห้อยู่บนก้อนหินที่ทำให้พวกเราล้มลง การสารภาพบาปเป็นเครื่องหมายแลเครื่องมืออันศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้พวกเรากลับคืนชีพขึ้นมาใหม่ นี่เป็นพระเมตตาล้วนๆ ศาสนบริกรบาดหลวงทุกคนที่ทำหน้าที่โปรดบาปควรที่จะแสดงให้เห็นถึงความอ่อนหวานแห่งพระเมตตา นี่เป็นสิ่งที่ผู้โปรดบาปจำเป็นที่ต้องกระทำ ที่จะถ่ายทอดความอ่อนหวานแห่งพระเมตตาของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงให้อภัยทุกสิ่ง พระเจ้าทรงให้อภัยทุกสิ่ง
พร้อมกับสันติสุขที่ฟื้นฟูพวกเราและการให้อภัยที่ทำให้พวกเราสามารถลุกขึ้นยืนพระเยซูคริสต์ทรงประทานของขวัญประการที่สามให้กับศิษย์ของพระองค์ พระองค์ทรงแสดงบาดแผลของพระองค์ให้พวกเขาได้เห็น จากบาดแผลเหล่านั้นพวกเราได้รับการรักษาเยียวยา (เทียบ 1 ปต. 2: 24; อสย. 53: 5) แต่บาดแผลจะรักษาเราได้อย่างไร? โดยอาศัยพระเมตตา ในบาดแผลเหล่านั้นเฉกเช่นโทมัสพวกเราสามารถสัมผัสกับความจริงได้ว่าพระเจ้าทรงรักพวกเราจนถึงที่สุด พระองค์ทรงทำให้บาดแผลของพวกเราเป็นของพระองค์เองและกระดูกแห่งความอ่อนแอของพวกเราเป็นส่วนที่อยู่ในพระกายของพระองค์ บาดแผลของพระองค์เปิดช่องทางระหว่างพระองค์กับพวกเราและทรงหลั่งพระเมตตามาสู่ความน่าสงสารของพวกเรา บาดแผลของพระองค์เป็นหนทางที่พระเจ้าทรงเปิดให้พวกเราเข้าสู่ความรักอันอ่อนโยนของพระองค์และ “สัมผัส” ได้อย่างแท้จริงว่าพระองค์คือผู้ใด ขอให้พวกเราจงอย่าได้สงสัยในพระเมตตาของพระองค์อีกต่อไป ในการนมัสการและจุมพิศบาดแผลของพระองค์ ซึ่งพวกเราควรรับรู้ว่าในความรักอันอ่อนโยนของพระองค์นั้นพระองค์ทรงรับความอ่อนแอทุกอย่างของพวกเราไว้กับพระองค์ นี่เกิดขึ้นในทุกพิธีบูชาขอบพระคุณซึ่งพระเยซูคริสต์ทรงมอบพระกายที่มีบาดแผลและเสด็จกลับคืนชีพเพื่อพวกเรา พวกเราสัมผัสกับพระองค์และพระองค์ทรงสัมผัสกับชีวิตของพวกเรา พระองค์ทรงทำให้สวรรค์ลงมาสู่พวกเรา บาดแผลอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ทรงขับไล่ความมืดที่พวกเรามีอยู่ภายในออกไป เช่นเดียวกับโทมัส พวกเราได้พบกับพระเจ้า พวกเราต่างก็รับรู้อย่างดีว่าพระองค์ทรงประทับอยู่ใกล้พวกเราเพียงใดจนกระทั่งพวกเราถูกผลักดันให้ต้องร้องออกมาว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า” (ยน 20: 28) ทุกสิ่งมาจากพระหรรษทานที่พวกเราได้รับพระเมตตา นี่คือจุดเริ่มต้นแห่งการเดินทางของคริสตชน ถ้าหากพวกเราวางใจในความสามารถของตัวเราเอง ในประสิทธิภาพของโครงสร้างและโครงการของพวกเรา พวกเราจะเดินไปไม่ได้ไกล มีเพียงแค่พวกเราต้องยอมรับความรักของพระเจ้าเท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถมอบบางสิ่งบางอย่างที่ใหม่สดให้กับชาวโลกได้
และนั่นเป็นสิ่งที่บรรดาศิษย์กระทำ เมื่อได้รับพระเมตตาแล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้ที่มีจิตเมตตา พวกเราพบกับสิ่งนี้ได้ในบทอ่านที่หนึ่ง หนังสือกิจการอัครสาวกเล่าว่า “ไม่มีผู้ใดอ้างกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของส่วนตั วแต่ทุกสิ่งทีมีถือเป็นของส่วนรวม (กจ. 4: 32) นี่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์แต่เป็นคริสตชนล้วนๆ ยิ่งจะน่าแปลกใจขึ้นไปอีกเมื่อพวกเราคิดว่าเขาเหล่านั้นเป็นศิษย์กลุ่มเดียวกัน ซึ่งก่อนหน้านั้นพวกเขาต่างก็ถกเถียงกันเกี่ยวกับรางวัลและค่าตอบแทนและว่าใครจะเป็นใหญ่กว่กันในหมู่พวกเขา (เทียบ มธ. 10: 37; ลก. 22; 24) บัดนี้พวกเขาแบ่งปันทุกสิ่งกัน พวกเขา “มีจิตใจเดียวกัน” (กจ. 4: 32) พวกเขาเปลี่ยนเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? บัดนี้พวกเขาเห็นตัวผู้อื่น ซึ่งเป็นพระเมตตาที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเขา พวกเขาพบว่าพวกเขาแบ่งปันร่วมกันในพันธกิจ ในการให้อภัย และในพระกายของพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้นทุกสิ่งจึงดูเป็นธรรชาติที่จะแบ่งสมบัติของโลกแก่กันและกัน เรื่องราวยังเล่าต่อไปว่า “ไม่มีผู้ใดที่เผชิญความทุกข์ร้อนในบรรดาพวกเขา” (ข้อ 5) ความกลัวของพวกเขาถูกขับไล่ออกไปด้วยการสัมผัสกับบาดแผลของพระเยซูคริสต์ และบัดนี้พวกเขาไม่กลัวที่จะรักษาบาดแผลของผู้ที่มีความทุกข์เดือดร้อน
ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รัก พวกลูกต้องการพิสูจน์ว่าพระเจ้าได้ทรงสัมผัสกับชีวิตของพวกลูกหรือไม่? ก็ให้ดูซิว่าพวกลูกสามารถที่จะก้มลงพันแผลให้ผู้อื่นได้หรือไม่ วันนี้เป็นวันที่ต้องถาม “ตัวฉันเองที่บ่อย ๆ ครั้งได้รับสันติสุข และพระเมตตาของพระเจ้า ฉันเองเคยพยายามที่จะบรรเทาความหิวของคนยากจนบ้างหรือไม่?”ขอให้พวกเราจงอย่าเป็นคนทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขอให้พวกเราอย่าเจริญชีวิตในความเชื่อทางเดียวที่มีแต่การรับแต่ไม่มีการให้ เป็นความเชื่อที่รับแต่ของขวัญ ทว่าไม่เคยตอบแทน เมื่อได้รับพระเมตตาแล้วขอให้พวกเรากลายเป็นผู้เมตตา เพราะหากพวกเรารักเพียงแค่ตัวเราเองความเชื่อก็จะเหี่ยวแห้ง อ้างว้างว่างเปล่าเป็นแบบทะเลทราย และขาดความรู้สึกจิตสำนึก หากปราศจากผู้อื่นความรักจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนเอง หากปราศจากซึ่งเมตตากิจ ทุกสิ่งจะตายสูยหายไป (เทียบ ยก. 2: 17) ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก ขอให้พวกเราได้รับการฟื้นฟูจากสันติสุข พระเมตตา และบาดแผลของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเมตตา มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่ความเชื่อของพวกเราจะมีชีวิตและชีวิตของพวกเราจะมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่พวกเราจะประกาศพระวรสารของพระเจ้า ซึ่งเป็นพระวรสารแห่งความเมตตา
(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์ของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)