วันศุกร์, 15 พฤศจิกายน 2567
  

เรจินา เชลี – Regina Coeli – ราชินีแห่งสวรรค์ ถ่ายทอดสดจากห้องสมุดวาติกัน

อรุณสวัสดิ์ ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย

        วันจันทร์หลังสมโภชปัสกายังเรียกกันว่า “วันจันทร์แห่งทูตสวรรค์” เพราะพวกเรารำลึกถึงการพบปะระหว่างทูตสวรรค์กับสตรีที่ไปยังคูหาฝังศพของพระเยซูคริสต์ (ดู มธ. 28: 1-15) ทูตสวรรค์กล่าวกับพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าทราบ ว่าท่านมาหาพระเยซูคริสต์ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะพระองค์ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพแล้ว (ข้อ 5-6) การกล่าวว่า “พระองค์ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์แล้ว” นั่นเกินเลยความสามารถของมนุษย์ที่จะเข้าใจได้ แม้สตรีเหล่านั้นได้ไปที่คูหาฝังศพ แล้วได้พบก้อนหินปิดทางเข้า (น้ำหนักกว่า 2000 กิโลกรัม) และพระคูหาว่างเปล่า พวกเขาก็ไม่สามารถยืนยันว่า “พระองค์กลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพแล้ว” พวกเขาได้แต่พูดว่า “คูหาฝังศพว่างเปล่า” คำว่า “พระองค์ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพแล้ว” เป็นสาส์นสำคัญ… ซึ่งมีเพียงทูตสวรรค์เท่านั้นที่สามารถกล่าวว่า “พระเยซูคริสต์ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพแล้ว” จึงมีเพียงทูตสวรรค์เป็นผู้มีอำนาจในการนำสาส์นของพระเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถกล่าวว่าพระเยซูคริสต์ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพแล้ว เช่นเดียวกันกับทูตสวรรค์เท่านั้นที่สามารถกล่าวกับมารีย์ว่า “ท่านจะให้บังเกิดบุตร […] และบุตรนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด (ลก. 1:31-32) เพาะเหตุนี้พวกเราจึงเรียกวันนี้ว่าเป็นวันจันทร์แห่งทูตสวรรค์ เพราะมีเพียงทูตสวรรค์เท่านั้น ซึ่งมีอำนาจของพระเจ้าจึงจะสามารถกล่าวว่า “พระเยซูคริสต์ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพแล้ว”

        นักบุญมัทธิวผู้นิพนธ์พระวรสารเล่าว่าเช้าวันปัสกา “เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เพราะทูตสวรรค์ของพระเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์ แล้วกลิ้งก้อนหินใหญ่ที่ปิดคูหาฝังศพออกไป จากนั้นนั่งบนก้อนหินนั้น (ดู ข้อ 2) หินก้อนใหญ่โตขนาดนั้นนั้นที่ปิดไว้เป็นตราประทับถึงชัยชนะต่อความชั่วและความตายถูกวางไว้ใต้เท้า จึงกลายเป็นที่รองเท้าของทูตสวรรค์ของพระเจ้า แผนการทุกอย่างและการป้องกันของพวกศัตรู และผู้เบียดเบียนจับพระเยซูคริสต์ไปทรมานต่าง ๆ จึงไร้ผลสิ้นเชิง การปิดกั้นทุกอย่างล่มสลาย ภาพทูตสวรรค์นั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่หน้าคูหาฝังศพคือการแสดงอย่างเป็นรูปธรรมถึงชัยชนะของพระเยซูคริสต์เหนือเจ้าชายใด ๆ ของโลกนี้ นี่เป็นการแสดงถึงชัยชนะของความสว่างเหนือความมืด  คูหาฝังศพของพระเยซูคริสต์ไม่ได้ถูกเปิดออกด้วยปรากฏการณ์ทางกายภาพ แต่ด้วยพลังของพระเจ้า มัทธิวเล่าต่อว่าการปรากฏตัวของทูตสวรรค์ “เป็นเสมือนฟ้าผ่าและอาภรณ์ขอพระองค์ขาวดุจหิมะ (ข้อ 3) รายละเอียดเหล่านี้เป็นเสมือนเครื่องหมายที่ยืนยันถึงพลังอำนาจของพระเจ้าเอง ผู้ทรงสร้างศักราชใหม่ครั้งสุดท้ายแห่งประวัติศาสตร์ เพราะว่าการกลับฟื้นคืนพระชนม์ของของพระเยซูคริสต์เริ่มยุคสุดท้ายแห่งประวัติศาสตร์ ซึ่งจะอยู่ยืนยงคงกระพันนับด้วยพันๆ ปี และนี่เป็นช่วงวาระสุดท้ายในประวัติศาสตร์แห่งความรอด

        ขอให้สังเกตว่ามีปฏิกิริยาสองประการด้วยกันในการเข้าใจถึงพลังของพระเจ้าที่เข้ามาในเหตุการณ์ หนึ่งในนั้นคือทหารยามที่ไม่สามารถเผชิญกับอำนาจอันเหลือล้นของพระเจ้า และความกลัวจากแผ่นดินไหวภายใน พวกเขาเป็นเหมือนกับคนตาย (ดู ข้อ 4) อำนาจแห่งการเสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์ได้เอาชนะต่อทุกคนที่เคยรับรองเหมือนว่าชัยชนะจะอยู่เหนือความตาย แล้วพวกทหารยามเหล่านั้นได้ทำอย่างไร? พวกเขาวิ่งไปหาผู้ที่ออกคำสั่งให้พวกเขาเฝ้าดูแลคูหานั้นแล้วพูดความจริงว่าอะไรได้เกิดขึ้น พวกเขามีทางเลือก พูดความจริงหรือไม่ก็ยอมเชื่อผู้ที่ออกคำสั่งให้พวกเขาไปเฝ้ายาม หนทางเดียวที่จะเอาชนะใจพวกทหารยามได้ก็ต้องใช้เงิน แล้วทหารยามผู้น่าเวทนาเหล่านั้นก็ยอมขายความจริง และเมื่อมีสตางค์ในกระเป๋าพวกเขาก็ตระเวนพูดไปทั่วว่า “พวกศิษย์มาขโมยศพไป”  เงินตราคือ “พระเจ้า” แม้ในเรื่องที่เกี่ยวกับการเสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์ก็อิทธิพลเหนือพวกเขา ทำให้พวกเขามีหลงทางใช้อำนาจที่ผิดทางและปฏิเสธความจริง ส่วนปฏิกิริยาของบรรดาสตรีนั้นแตกต่างออกไป เพราะพวกเขาได้รับการเชิญจากทูตสวรรค์ของพระเจ้าอย่างชัดเจนไม่ต้องกลัว และในที่สุดพวกเขาก็ไม่กลัวสิ่งใด ๆ “จงอย่าได้กลัวเลย” (ข้อ 5) แล้วพวกเขาก็ไม่ไปตามหาพระเยซูคริสต์ในคูหาฝังศพ

        พวกเราสามารถเก็บเกี่ยวคำสอนทรงคุณค่านี้จากคำบอกกล่าวของทูตสวรรค์ พวกเรามีความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการแสวงหาพระเยซูคริสต์ผู้เสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพ ผู้ทรงประทานชีวิตอย่างเต็มเปี่ยมให้กับผู้ที่พบปะพระองค์ เพื่อที่จะพบพระเยซูคริสต์หมายถึงการพบกับสันติสุขภายในใจของพวกเรา สตรีกลุ่มนี้ในพระวรสารหลังจากที่มีความกลัวในตอนแรก – ซึ่งพอที่จะเข้าใจได้ – ได้มีประสบการณ์กับความชื่นมยินดีที่ยิ่งใหญ่ในการที่ได้พบปะพระอาจารย์ของตนยังมีชีวิตอยู่ (ดู ข้อ 8-9) ในเทศกาลปัสกานี้ พ่อปรารถนาให้ทุกคนมีประสบการณ์ฝ่ายจิตเช่นเดียวกันกับการต้อนรับพระองค์ในหัวใจของพวกเรา ในบ้านของพวกเราและในครอบครัวของพวกเรา ซึ่งเป็นความชื่นชมยินดีแห่งการประกาศพระวรสาร “พระเยซูคริสต์ ผู้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนจะไม่มีวันสิ้นพระชนม์อีกต่อไป ความตายจะไม่มีวันที่จะเอาชนะพระองค์ได้อีกต่อไป “บทภาวนาเวลารับศีลมหาสนิท) การประกาศปัสกาหรือการที่พระเยซูคริสต์ยังคงมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง พระเยซูคริสต์ทรงติดตามชีวิตของตัวฉันตลอดไป พระเยซูคริสต์ทรงประทับอยู่เคียงข้างตัวฉัน พระเยซูคริสต์ทรงเคาะที่ประตูหัวใจของฉัน เพื่อว่าฉันจะได้ยินยอมให้พระองค์เสด็จเข้าไป พระเยซูคริสต์ยังทรงพระชนม์อยู่ตลอดกาล ในช่วงสมโภชปัสกานี้จะเป็นการดีมากสำหรับพวกเราที่จะกล่าวบ่อยๆ ว่า พระเยซูคริสต์ยังทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ยังคงมีชีวิต

        ความแน่นอนนี้ผลักดันให้พวกเราอธิษฐานภาวนาในวันนี้ และตลอดเทศกาลปัสกา บทเพลง “Regina Coeli Laetare นั่นคือ ราชินีสวรรค์ จงชื่นชมยินดีเถิด” อัครทูตคาเบรียลทักทายประโยคนี้เป็นครั้งแรกต่อพระแม่มารีย์ “จงชื่นชมยินดีเถิด ท่านผู้เปี่ยมด้วยหรรษทาน” (ดู มก. 1: 28) บัดนี้ความชื่นชมยินดีของพระแม่มารีย์สมบูรณ์แล้ว พระเยซูคริสต์ทรงยังมีทรงมีชีวิต ทรงรัก และทรงมีชัย ขอให้พวกเรามีความชื่นชมยินดีนี้เช่นเดียวกัน


หลังการขับร้องบทเพลง “Regina Caeli”

ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก

        ในบรรยากาศแห่งปัสกาที่พวกเราสมโภชกันวันนี้  พ่อขอต้อนรับทุกคนด้วยความรักถึงพวกท่านผู้ซึ่งในขณะนี้มีส่วนร่วมในการอธิษฐานภาวนาโดยอาศัยเครื่องมือทางสื่อสารสังคมต่าง ๆ  พ่อคิดถึงเป็นพิเศษต่อผู้สูงอายุ ผู้ที่เจ็บป่วยซึ่งนอนอยู่ที่บ้านของตนหรือบ้านพักคนชรา พ่อขอส่งกำลังใจไปยังพวกเขา และรับรู้อย่างดีถึงการเป็นประจักษ์พยานของพวกเขา พ่ออยู่ใกล้ชิดกับพวกเขาและกับทุกคน พ่อหวังว่าพวกท่านจะสามารถดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในช่วงอัฐมวารปัสกา ซึ่งพวกเรารำลึกถึงการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์ ขอให้โอกาสอันเป็นมิ่งมงคลนี้เป็นประจักษ์พยานต่อความชื่นชลมยินดีและสันติสุขแห่งพระเยซูคริสต์ผู้ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพ

        ขอส่งความสุขและและความสงบสันติสุขในจิตใจแก่ทุกคนในวันปัสกาศักดิ์สิทธิ์นี้ โปรดอย่าลืมภาวนาสำหรับพ่อด้วย ขอให้รับประทานอาหารกลางวันด้วยความสุข แล้วค่อยพบกันใหม่

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บคำปราศรัยของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)