วันเสาร์, 11 มกราคม 2568
  

บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสในวันสมโภชพระจิต (Pentecost)

“เมื่อพระจิตเจ้าเสด็จมา ซึ่งเราจะส่งมายังท่านจากพระบิดา..” (ยน. 14: 26) ด้วยคำพูดเหล่านี้พระเยซูคริสต์ทรงสัญญาจะส่งพระจิตมายังศิษย์ของพระองค์ในฐานะที่เป็น “ของขวัญอันประเสริฐสูงสุด” ในบรรดาของขวัญทั้งปวง พระองค์ทรงใช้คำที่ไม่ธรรมดาและล้ำลึกเพื่อที่จะอธิบายถึงพระจิต พระผู้บรรเทา (ปาราคลีท -Paraclete) วันนี้ขอให้พวกเรามาพิจารณกันถึงคำนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแปลเพราะว่าคำนี้มีความหมายหลายอย่าง โดยแก่นแท้แล้วหมายถึงสองสิ่งด้วยกัน 1) ผู้บรรเทา และ 2)ทนายแก้ต่าง

        “ปาราคลีท – Paraclete” คือผู้บรรเทา พวกเราทุกคนโดยเฉพาะในเวลาที่มีความยุ่งยากลำบาก เช่นผู้ที่กำลังประสบภัยอยู่ขณะนี้เนื่องจากโรคระบาดต่างพากันมองหาความบรรเทา บ่อยครั้งพวกเรามักจะหันไปแสวงหาความบรรเทาแบบทางโลก ซึ่งเป็นความบรรเทาแบบฉาบฉวยแล้วจะมลายไปอย่างรวดเร็ว  วันนี้พระเยซูคริสต์ทรงนำเสนอความบรรเทาแห่งสวรรค์ให้พวกเรา นั้นคือพระจิตซึ่งเป็น “ผู้บรรเทาที่ดีที่สุด” (เทียบบทอ่านเสริม) ความบรรเทาเช่นนี้แตกต่างกันอย่างไร? ความบรรเทาของชาวโลกเป็นเหมือนยาบรรเทาความปวด ซึ่งช่วยระงับความเจ็บปวดเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ไม่รักษาความเจ็บปวดที่อยู่ลึกภายในจิตใจ การบรรเทาแบบชาวโลกอาจบรรเทาพวกเราได้ก็จริง ทว่าไม่ได้ช่วยรักษาพวกเราให้อาการเจ็บปวดหายขาด แบบตัวยาที่ทำงานได้จำเพาะบนพื้นผิวหนังในระดับของความรู้สึก แต่ไม่อาจเข้าไปเข้าไปถึงก้นบึ้งในหัวใจของพวกเรา มีเพียงใครบางคนที่ทำให้รู้สึกว่าพวกเราได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยม และเป็นผู้ที่สามารถมอบสันติสุขให้กับหัวใจของพวกเรา นี่คือพระจิตซึ่งเป็นองค์ความรักของพระเจ้าสามารถทำสิ่งนี้ได้เป็นพิเศษ พระองค์เสด็จมาสู่จิตใจของพวกเรา ในฐานะที่เป็นพระจิตพระองค์ทรงกระตุ้นในจิตใจของพวกเรา พระองค์เสด็จมา “ประทับอยู่ในดวงใจ” ของพวกเราดุจ “แขกที่น่าต้อนรับที่สุดของดวงวิญญาณ” (Ibid.) พระองค์ทรงเป็นความรักของพระเจ้า ผู้ที่จะไม่ทรงทอดทิ้งพวกเราไป เพราะการประทับอยู่กับผู้ที่อยู่ตามลำพังในตัวเองก็เป็นบ่อเกิดแห่งความบรรเทาใจอยู่แล้ว

        ลูก ๆ และ พี่น้องชายหญิงที่รัก หากพวกลูกรู้สึกมีความมืดมนในการอยู่อย่างสันโดษ หากพวกลูกรู้สึกว่ามีอุปสรรคภายในที่ปิดกั้นหนทางสู่ความหวัง หากหัวใจของพวกลูกมีบาดแผลสาหัส หากพวกลูกมองไม่เห็นทางออก ก็จงเปิดใจของพวกลูกสู่พระจิต นักบุญบอนาเวนตูราบอกพวกเราว่า “ที่ใดที่มีการทดลองที่ใหญ่กว่า พระองค์ก็ยิ่งจะนำความบรรเทามาให้มากกว่า ไม่ใช่แบบของชาวโลกที่ให้ความบรรเทา และประจบประแจงกับพวกเราเมื่อทุกสิ่งเป็นไปด้วยดี หรือแบบหัวเราะเยาะและดูถูกดูหมิ่นพวกเราเมื่อพวกเราเผชิญความยุ่งยากลำบากใจ” (คำเทศน์นพวารสมโภชพระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นสวรรค์) นี่คือสิ่งที่ชาวโลกกระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปิศาจที่เป็นจิตร้ายกระทำ ประการแรกซาตานมักจะทำให้พวกเรารู้สึกว่าพวกเราไม่มีทางแพ้ผู้ใด (เพราะการหลอกลวงของปิศาจทำให้เราฟุ้งเฟ้อหยิ่งยโส ทรนงตนเอง) แล้วมันก็จะเหวี่ยงพวกเราทิ้งแล้วทำให้พวกเรารู้สึกว่าเราล้มเหลว ปีศาจจะหลอกเล่นพวกเรา มันจะทำทุกสิ่งที่จะทำให้พวกเราตกต่ำลง ในขณะที่พระจิตแห่งพระผู้ที่เสด็จกลับคืนพระชนม์ชีพต้องการที่จะโอบอุ้มพวกเรา ขอให้พวกเราดูบรรดาอัครธรรมทูต พวกเขาอยู่กันตามลำพังในเช้าวันนั้น พวกเขาอยู่กันเพียงแค่ตามลำพัง ต่างก็พากันซ่อนตัวอยู่ในห้องที่ลั่นกลอนแน่นหนา มีแต่ความกลัวเพราะความอ่อนแอ รู้สึกว่าตนล้มเหลวและเป็นคนบาป เพราะว่าพวกเขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์  หลายต่อหลายปีที่พวกเขาอยู่กับพระเยซูคริสต์ก็ไม่ได้เปลี่ยนพวกเขา พวกเขาไม่มีอะไรแตกต่างจากชีวิตแต่ก่อน ครั้นแล้วพวกเขาก็ได้รับพระจิตแล้วทุกสิ่งก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ปัญหาและความล้มเหลวยังคงอยู่ แต่พวกเขาไม่กลัวไม่ขี้ขลาดอีกต่อไปกับปัญหาเหล่านั้น และก็ไม่กลัวผู้ใดที่เป็นอริต่อพวกเขา เขารู้สึกมีความบรรเทาภายในและพวกเขาต้องการแสดงออกมาซึ่งความบรรเทาของพระเจ้า ก่อนหน้านั้นพวกเขาต่างหวาดกลัว บัดนี้ความกลัวเพียงแค่ประการเดียวของพวกเขาก็คือพวกเขาไม่ได้เป็นประจักษ์พยานถึงความรักที่พวกเขาได้รับมา พระเยซูคริสต์ทรงทำนายสิ่งนี้มาก่อน “พระจิตจะทรงเป็นประจักษ์พยานให้กับเรา ท่านก็ต้องทำเช่นเดียวกัน” (ยน. 15: 25-27)

        ขอให้พวกเราก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง  เช่นเดียวกันพวกเราถูกเรียกร้องให้ต้องเป็นประจักษ์พยานต่อองค์พระจิต ที่ต้องเป็น “paracletes” หรือผู้บรรเทา พระจิตทรงขอให้พวกเราสวมความบรรเทาที่พระองค์นำมามอบให้พวกเรา แล้วพวกเราจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ไม่ใช่ด้วยการเป็นนักปราศรัยที่ยิ่งใหญ่ แต่ด้วยการเข้าใกล้ผู้อื่นไม่ใช่ด้วยการใช้คำพูดที่ซ้ำซาก แต่ด้วยการอธิษฐานภาวนาและความใกล้ชิดจริงใจ ขอให้พวกเราจำว่าความใกล้ชิด ความเห็นอกเห็นใจ ความเอื้ออาทร และความสุภาพอ่อนโยนเป็นแบบ “เครื่องหมายการค้า” ของพระเจ้า พระจิตตรัสกับพระศาสนจักรในทุกวันนี้เป็น เรื่องแห่งการให้ความบรรเทา นี่เป็นเวลาแห่งการที่ต้องประกาศพระวรสารด้วยความชื่นชมยินดียิ่งกว่าการต่อสู้กับลัทธินอกศาสนา นี่เป็นเวลาที่ต้องนำความชื่นชมยินดีแห่งพระผู้ที่เสด็จกลับคืนพระชนม์ ไม่ใช่มัวแต่จะรำพันถึงเรื่องราวแห่งโลกีย์วิสัย นี่เป็นเวลาที่ต้องหลั่งความรักสู่โลกแต่จะไม่แตะต้องเรื่องโลกีย์วิสัย นี่เป็นเวลาที่พวกเราต้องเป็นประจักษ์พยานต่อพระเมตตามากกว่าที่มัวแต่จะไปคำนวณเคร่งครัดกับกฎระเบียบวินัย นี่เป็นเวลาของพระจิต! นี่เป็นเวลาแห่งเสรีภาพของหัวใจในองค์พระจิต

        พระจิตยังทรงเป็นทนายแก้ต่าง ในสมัยของพระเยซูคริสต์ทนายแก้ต่างไม่ได้ทำสิ่งที่ทนายทำกันอยู่ในทุกวันนี้ แทนที่จะพูดแทนจำเลยพวกเขาเพียงแค่ยืนข้างจำเลยแล้วเสนอข้อแก้ต่างที่เขาใช้ในการปกป้องของตน สิ่งที่พระจิตทรงกระทำการเป็นทนายแก้ต่างเพราะว่าพระองค์ทรงเป็น “พระจิตแห่งความจริง” (ข้อ 26) พระองค์ไม่ได้มาแทนที่พวกเราแต่ทรงป้องกันคุ้มครองพวกเราจากความเท็จของความชั่วร้ายด้วยการเป็นแรงดลใจในความคิดและความรู้สึกของพวกเรา พระองค์กระทำดังกล่าวอย่างเป็นกลางโดยไม่บังคับพวกเรา พระองค์ทรงเสนอแนะแต่ไม่บังคับ ปิศาจอันเป็นจิตของความชั่วจะทำตรงกันข้าม ปีศาจพยายามที่จะบังคับพวกเรา ปีศาจต้องการให้พวกเราคิดว่าพวกเราต้องยอมให้กับการกระตุ้นโน้มน้าวไปทางความชั่ว ขอให้พวกเรายอมรับข้อเสนอสามประการ ซึ่งเป็นวิธีการของพระจิตผู้เป็นทนายแก้ต่างของพวกเรา นี่เป็นยาแก้ขั้นพื้นฐานกับการล่อลวงสามประการซึ่งทุกวันนี้แพร่หลายมาก

        คำแนะนำแรกที่พระจิตทรงมอบให้คือ “เจริญชีวิตในปัจจุบัน” ปัจจุบันไม่ใช่อดีตหรืออนาคต พระจิตทรงยืนยันถึงความสำคัญอันดับแรกของวันนี้เพื่อต่อต้านต่อการล่อลวงให้ตัวพวกเราเป็นง่อยอยู่กับความโกรธ ความเกลียดหรือความทรงจำในอดีตหรือในความไม่แน่นอน หรือความหวาดกลัวเกี่ยวกับอนาคต พระจิตทรงเตือนใจพวกเราถึงพระหรรษทานแห่งเวลาปัจจุบันวันนี้ ไม่มีเวลาใดที่จะดีไปกว่าสำหรับพวกเรา เวลานี้ ที่นี่ และในขณะนี้ อันเป็นเวลาเดียวที่พวกเราจะกระทำความดี ที่จะทำให้ชีวิตของพวกเราเป็นของขวัญอันประเสริฐ จึงขอให้พวกเราดำรงชีวิตในปัจจุบัน!

        พระจิตยังตรัสกับพวกเราด้วยว่า “จงมองไปยังสิ่งทั้งต่าง ๆ แบบองค์รวม” ทั้งครบถ้วนไม่ใช่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง พระจิตมิได้ปั้นแต่งเพียงแค่ปัจเจกบุคคลแบบเดี่ยวๆ ตามลำพัง  แต่ทรงหล่อหลอมพวกเราในพระศาสนจักรในหลากหลายรูปแบบแห่งพระพรพิเศษของพวกเราให้เป็นเอกภาพไม่ใช่ในทางตรงกันข้ามหรือความขัดแย้ง พระจิตทรงยืนยันถึงความเป็นเลิศแห่งทั้งครบแบบองค์รวม ความครบถ้วนในชุมชน พระจิตทรงปรารถนาที่จะกระทำการและนำความใหม่มามอบให้ ขอให้พวกเราไตร่ตรองที่บรรดาอัครธรรมทูต พวกเขาล้วนมีความแตกต่างกัน เช่น มัทธิวคนเก็บภาษี ซึ่งร่วมมือกันกับชาวโรมัน ซีมอนที่ได้รับฉายานามว่าเป็นผู้ที่มีใจร้อนรนชาตินิยมที่ต่อสู้ชาวโรมันเพื่อพวกเขา พวกเขามีความคิดทางการเมืองที่ต่างกัน มีวิสัยทัศน์ต่างกันเกี่ยวกับโลก แต่เมื่อพวกเขาได้รับพระจิตแล้วพวกเขาก็เรียนรู้ที่จะให้ความสำคัญอันดับแรกไม่ใช่กับทัศนคติมนุษย์ของตนเอง แต่ให้กับ “ทั้งครบแบบองค์รวม” ซึ่งเป็นแผนการของพระเจ้า วันนี้หากพวกเราตั้งใจฟังเสียงของพระจิต พวกเราจะไม่มีความห่วงใยกับอนุรักษ์นิยม หรือการเจริญก้าวหน้า หรือยึดอยู่กับธรรมเนียมปฏิบัติล้าสมัย และนวัตกรรม ขวาหรือซ้าย   เมื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นมาตรฐานของพวกเรา พระศาสนจักรก็จะลืมพระจิตไป พระจิตทรงผลักดันให้พวกเรามีเอกภาพ ให้สมานสามัคคีกัน ให้มีความกลมเกลียวกันในความแตกต่าง พระองค์ทรงทำให้พวกเราเห็นตัวพวกเราเองว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งกายเดียวกัน ขอให้พวกเรามองดูสิ่งต่าง ๆ “ทั้งครบแบบองค์รวม”   ศัตรูต้องการทำให้ความหมายเป็นการต่อสู้กัน ดังนั้นปีศาจจึงทำให้เกิดเป็นอุดมการณ์แบบผิด ๆ  จงอย่ายอมรับอุดมการณ์ของปีศาจ แต่ให้ยอมรับ “ความครบถ้วนบริบูรณ์”

        ข้อแนะนำประการที่สามของพระจิตคือ “การยึดมั่นในพระเจ้ามาก่อนยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง” นี่เป็นขั้นตอนอันเด็ดขาดในชีวิตฝ่ายจิต ซึ่งไม่ใช่เป็นคุณงามความดีของตัวเราเองหรือเป็นความสำเร็จของตัวเราเอง แต่เป็นการเปิดใจกว้างด้วยความสุภาพต่อพระเจ้า พระจิตทรงยืนยันถึงความเป็นเลิศแห่งพระหรรษทาน มีเพียงแค่การทำตัวของพวกเราให้ว่างเปล่าเท่านั้นที่เราจะมีพื้นที่ไว้สำหรับพระเยซูคริสต์ มีเพียงแค่การมอบตัวของพวกเราให้กับพระเจ้าเท่านั้นที่พวกเราจะสามารถพบตนเองได้ มีเพียงแค่ความยากจนในจิตเท่านั้นที่พวกเราจะกลายเป็นบุคคลมั่งคั่งสมบูรณ์ในพระจิต นี่ก็เป็นลักษณะเช่นเดียวกันสำหรับพระศาสนจักร พวกเราจะไม่สามารถช่วยให้ผู้ใดรอดได้แม้กระทั่งตัวเราเองด้วยความพยายามตามลำพังของพวกเรา หากพวกเราให้ความสำคัญอันดับแรกกับโครงการของพวกเรา โครงสร้างของพวกเรา แผนการปฏิรูปของพวกเรา พวกเราก็จะมัวแต่ห่วงใยกับประสิทธิภาพและประสิทธิผล พวกเราจะคิดก็เพียงแค่ในแนวนอนและผลที่จะตามมาก็คือจะไม่บังเกิดผลอะไรสักอย่าง “ลัทธิ” เป็นอุดมการณ์ที่แบ่งแยกแตกฉาน พระศาสนจักรเป็นมนุษย์ก็จริง ทว่าไม่ใช่เป็นเพียงองค์กรมนุษย์แบบเอ็นจีโอ พระศาสนจักรเป็นพระวิหารของพระจิต พระเยซูคริสต์ทรงนำไฟของพระจิตมาสู่โลกและพระศาสนจักร มีการปฏิรูปโดยการเจิมแห่งพระหรรษทาน โดยพลังแห่งการอธิษฐานภาวนา เปี่ยมล้นด้วยความชื่นชมยินดีแห่งพันธกิจ และความสวยงามแห่งความยากจน ขอให้พวกเรายึดมั่นในพระเจ้ามาเป็นอันดับแรก!

        พระจิต พระผู้บรรเทาหัวใจของพวกเรา พระองค์ทรงทำให้พวกเรากลายเป็นศิษย์ธรรมทูตแห่งความบรรเทาของพระองค์ และเป็นผู้บรรเทาแห่งพระเมตตาของพระองค์ต่อชาวโลก พระจิตผู้ทรงเป็นทนายแก้ต่าง พระจิตผู้แนะนำที่อ่อนหวานแห่งดวงวิญาณ ในวันนี้โปรดประทานให้พวกเราเป็นประจักษ์พยานของพระเจ้า เป็นประกาศกแห่งความเป็นเอกภาพสำหรับพระศาสนจักรในมวลมนุษย์ เป็นอัครธรรมทูตที่มีรากฐานอยู่ในพระหรรษทานของพระองค์ ซึ่งสร้างสรรพสิ่งสรรพสัตว์และฟื้นฟูทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาใหม่ด้วยเทอญ  อาแมน

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์อันทรงพลังของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาบางปันและไตร่ตรอง)