วันศุกร์, 10 มกราคม 2568
  

บทเทศน์ของพระสันตะปาปาฟรานซิสเพื่อรำลึกถึงปู่ ย่า ตา ยาย และผู้สูงอายุสากล ครั้งที่ 1

[อาร์ชบิชอปริโน ฟิสิเกลลา – Rino Fisichella อ่านบทเทศน์ที่พระสันตะปาปาฟรานซิสเตรียมไว้สำหรับโอกาสนี้]

        ในขณะที่ประทับนั่งเพื่อเทศนาพระเยซูคริสต์ “ทรงเงยหน้าขึ้นเห็นฝูงชนจำนวนมากต่างเดินเข้ามาหา พระองค์จึงตรัสกับฟิลิปว่า “พวกเราจะหาซื้อขนมปังเลี้ยงเขาเหล่านี้ได้ที่ไหน?” (ยน. 6: 5) พระเยซูคริสต์ไม่เพียงแต่จะสอนฝูงชน พระองค์ยังเข้าใจดีถึงความหิวของพวกเขา เพื่อเป็นคำตอบพระองค์ทรงเลี้ยงพวกเขาด้วยขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว ซึ่งขอมาจากเด็กชายคนหนึ่ง หลังจากนั้นมีขนมปังเหลือมากมายพระองค์จึงสั่งให้ศิษย์เก็บเศษอาหารที่เหลือเหล่านั้น “เพื่อไม่ให้เสียของ” (ข้อ 12)

        วันนี้พวกเรารำลึกถึงปู่ย่าตายายและผู้สูงอายุ ขอให้พวกเราไตร่ตรองถึงเวลาที่สำคัญ 3 ช่วง กล่าวคือพระเยซูคริสต์เห็นความหิวของฝูงชน พระเยซูคริสต์ทรงแบ่งปันอาหาร (ขนมปัง) พระเยซูคริสต์บัญชาให้เก็บอาหาร (ขนมปัง) ที่เหลือ เวลาทั้งสามช่วงอาจสรุปด้วยกิริยาสามคำ คือ มองเห็น แบ่งปัน เก็บรักษาไว้

        มองเห็น: เมื่อเริ่มต้นเล่าเรื่อง ยอห์นผู้นิพนธ์พระวรสารได้ชี้ให้เห็นว่าพระเยซูคริสต์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเห็นฝูงชนที่หิวโหยหลังจากที่พวกต้องเดินทางไกลเพื่อที่จะมาพบพระองค์ นั่นคือจุดเริ่มต้นของอัศจรรย์ ด้วยการเพ่งพิศของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงไม่เพิกเฉย หรือมีงานยุ่งจนไม่รู้สึกถึงความหิวของเพื่อนมนุษย์ที่อ่อนล้า พระเยซูคริสต์ทรงเอาใจใส่ดูแลพวกเราทุกคน พระองค์ทรงห่วงใยพวกเรา พระองค์ทรงต้องการทำให้ความหิวแห่งชีวิตของพวกเราอิ่มหนำ เปี่ยมด้วยความรักและความสุข ในสายพระเนตรของพระองค์พวกเราจะเห็นวิธีของพระเจ้าในการมองสิ่งต่างๆ การเพ่งพิศของพระองค์เป็นการมองด้วยความเอาใจใส่ พระองค์ทรงมีความรู้สึกละเอียดอ่อนในพวกเราและทรงตั้งความหวังที่จะให้พวกเราก้าวเดินต่อไป พระองค์ทรงเข้าใจความต้องการของแต่ละบุคคล เพราะในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีผู้ใดในท่ามกลางฝูงชนเป็นคนแปลกหน้า มีเพียงแค่ปัจเจกบุคคลที่มีแต่ความหิวความกระหาย การมองของพระเยซูคริสต์เป็นการเพ่งพิศ พระองค์เพ่งพิศมายังชีวิตของพวกเราแต่ละบุคคล พระองค์เห็นและเข้าใจพวกเรา

        ปู่ย่าตายายและผู้สูงอายุของพวกเราต่างก็มองมายังชีวิตของพวกเรา ด้วยการใส่ใจเช่นเดียวกัน นั่นคือเหตุผลที่ท่านเหล่านั้นสนใจดูแลพวกเราตั้งแต่ตอนที่พวกเรายังเป็นเด็ก วัยเยาว์ แม้ชีวิตของพวกเขาจะเต็มไปด้วยการงานที่ซับซ้อนยากลำบากและการเสียสละ พวกเขาก็ยังมีเวลาสำหรับพวกเราและไม่เคยเมินเฉยกับพวกเรา พวกเขามองมายังพวกเราด้วยความรักและเอาใจใส่ เมื่อพวกเรากำลังเจริญเติบโตขึ้นและรู้สึกว่ามีการเข้าใจผิดหรือมีการท้าทายแห่งชีวิต พวกเขาจะทุ่มเทติดตามมองมาที่พวกเรา พวกเขาทราบดีว่าพวกเรามีความรู้สึกอย่างไร พวกเราอาจรู้สึกทุกข์แบบน้ำตาตกในและสับสนในความฝันเร้นลับของพวกเราคืออะไร พวกเขาจะกอดพวกเราและนำพวกเรานั่งบนตัก พวกเขาอยากช่วยให้พวกเราเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่

        แล้วพวกเราล่ะ? พวกเรามองปู่ย่าตายายและผู้สูงอายุของพวกเราอย่างไร? พวกเรามีเวลาไปเยี่ยมหรือโทรศัพท์ไปหาพวกเขาครั้งสุดท้ายเมื่อใด เพื่อที่จะแสดงถึงความใกล้ชิด ห่วงใย และได้รับประโยชน์จากสิ่งที่พวกเขาจะบอกพวกเรา? พ่อเองรู้สึกเป็นห่วงเมื่อเห็นสังคมที่ผู้คนต่างวุ่นวายเพ่นพ่านไม่รู้จักหยุดหย่อน แต่ละคนมัวแต่จะยุ่งอยู่กับเรื่องส่วนตัวจนไม่มีเวลาที่จะไปพบผู้หลักผู้ใหญ่เพื่อทักทายหรือสวมกอดพวกเขา พ่อเป็นห่วงสังคมที่ปัจเจกบุคคลเป็นเพียงคนหนึ่งที่ไม่มีชื่อในฝูงชน ซึ่งพวกเราไม่สามารถที่จะมองหาบุคคลที่รู้จักได้แม้สักคนเดียว ปู่ย่าตายายที่เคยเลี้ยงดูพวกเรามาบัดนี้อยากเห็นความสนใจและความรักของพวกเรา พวกเขาอยากให้พวกเรามีความใกล้ชิดกับพวกเขา พวกเขาอยากให้พวกเรายกสายตาขึ้นมองดูพวกเขาอย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงมองพวกเรา

        การแบ่งปัน: เมื่อเห็นความหิวของประชาชน พระเยซูคริสต์ทรงต้องการที่จะเลี้ยงดูพวกเขา แต่นี่ก็ต้องขอบคุณเด็กหนุ่มคนนั้นที่มอบขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัวของตนเองอย่างเสียสละ ช่างสะเทือนใจเพียงใดที่ ณ หัวใจแห่งอัศจรรย์ที่ฝูงชนจำนวนห้าพันคนนี้ได้รับการเลี้ยงดู พวกเราพบกับเด็กหนุ่มซึ่งเต็มใจที่จะแบ่งปันสิ่งที่ตนเองมี

        ทุกวันนี้พวกเราต้องการพันธสัญญาใหม่ระหว่างเด็กรุ่นใหม่และผู้สูงอายุ พวกเราต้องการแบ่งปันขุมทรัพย์แห่งชีวิต ที่จะต้องตั้งความฝันไปด้วยกัน ที่จะต้องเอาชนะต่อความขัดแย้งระหว่างชนชั้น ระหว่างวัยที่แตกต่าง และที่จะเตรียมอนาคตสำหรับทุกคน หากปราศจากซึ่งพันธสัญญาแห่งการแบ่งปันชีวิต ความฝัน และอนาคต พวกเราเสี่ยงที่จะตายเพราะความหิวในขณะที่ความสัมพันธ์ที่ล่มสลาย การอยู่อย่างโดดเดี่ยวถูกทอดทิ้ง การเห็นแก่ตัว และพลังแห่งความเสื่อมโทรมในสังคมยิ่งวันยิ่งจะเพิ่มขึ้น ในสังคมของพวกเราบ่อยครั้งพวกเรายอมจำนนต่อมิติที่ว่า “ตัวใครตัวมัน” ทว่านี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย!  พระวรสารสั่งให้พวกเราแบ่งปันสิ่งที่พวกเราเป็น และสิ่งที่พวกเรามี เพราะมีเพียงแค่วิธีนี้เท่านั้นที่พวกเราจะพบได้กับความบริบูรณ์  บ่อยครั้งพ่อเอ่ยถึงคำพูดของประกาศกโจเอลเกี่ยวกับเด็กและผู้ใหญ่ที่ต้องหันหน้าเข้าหากัน (เทียบ จอล. 3: 1) เด็ก ๆ ในฐานะที่จะเป็นประกาศกในวันข้างหน้าที่สั่งสมประวัติศาสตร์ของตน ผู้สูงอายุที่ยังคงใฝ่ฝันและแบ่งปันประสบการณ์ของตนเองกับเด็ก ๆ ลูก ๆ หลาน ๆ โดยไม่ไปขัดขวางทางเดินตามความใฝ่ฝันของพวกเขา ทั้งเด็กและผู้สูงอายุต่างก็เป็นขุมทรัพย์แห่งขนบธรรมเนียมประเพณีและความสดใหม่แห่งองค์พระจิต ทั้งเด็กและผู้สูงอายุพร้อมใจเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งในสังคมและในพระศาสนจักร

        เพื่อดำรงรักษาไว้: หลังจากที่ฝูงชนรับประทานอาหารกันจนอิ่มหนำสำราญแล้วพระวรสารเล่าว่ายังมีอาหาร (ขนมปัง) เหลืออีกมากมาย ดังนั้นพระเยซูคริสต์จึงบัญชากับบรรดาศิษย์ว่า “จงรวบรวมเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้เพื่อจะไม่ต้องเสียของ” (ยน. 6: 12) นี่เผยให้เห็นถึงดวงพระทัยของพระเจ้า ไม่เพียงแค่พระองค์จะให้พวกเรารับประทานเกินกว่าที่พวกเราต้องการ พระองค์ยังทรงเป็นห่วงไม่ให้มีการเสียของแบบกินทิ้งกินขว้าง แม้กระทั่งเศษอาหาร (ขนมปัง) เศษอาหารหรือเศษขนมปังอาจดูเป็นสิ่งเล็กน้อยไร้ค่า ทว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่ควรมีสิ่งใดที่จะโยนทิ้งไป ยิ่งไปกว่านั้นไม่ควรมีผู้ใดที่จะถูกมองข้ามหรือถูกทอดทิ้งไป พวกเราควรที่จะทำให้พระวาจานี้ได้ยินไปถึงทุกคน ทั้งในหมู่พวกเราและในหมู่ชาวโลก กล่าวคือ รวบรวม เก็บรักษาด้วยเอาใจใส่ ปกป้องคุ้มครองปู่ย่าตายายและผู้สูงอายุไม่ใช่เป็นเพียงเศษส่วนเกินที่เหลือจากชีวิต หรือเป็นเศษเสี้ยวบุคคลที่ไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจ พวกเขาเป็นชิ้นส่วนที่มีคุณค่าบนโต๊ะอาหารที่ยังสามารถหล่อเลี้ยงพวกเราได้ด้วยของดี ๆ ที่พวกเราขาดหายไป “เป็นของดีอันทรงคุณค่าแห่งความทรงจำ

        ขอให้พวกเราจงอย่าได้ลืมความทรงจำที่ดำรงรักษาไว้โดยผู้สูงอายุ เพราะพวกเราเป็นลูกหลานแห่งประวัติศาสตร์นั้น และหากปราศจากซึ่งรากเหง้าพวกเราจะค่อยๆเหี่ยวแห้งไป พวกเขาปกป้องพวกเราในขณะที่พวกเราเจริญเติบโต และบัดนี้ต้องขึ้นอยู่กับพวกเราที่จะต้องปกป้องชีวิตของพวกเขา ที่จะบรรเทาความยากลำบากของพวกเขา ที่จะดูแลความต้องการของพวกเขา และจำเป็นต้องสร้างหลักประกันว่าพวกเขาได้รับความช่วยเหลือในชีวิตประจำวันและไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย ขอให้พวกเราถามตัวพวกเราเองว่า “ฉันเคยไปเยี่ยมปู่ย่าตายาย ญาติผู้สูงอายุ และคนชราที่เป็นเพื่อนบ้านบ้างหรือเปล่า? ฉันเคยนั่งฟังพวกเขาคุยบ้างหรือเปล่า? ฉันเคยใช้เวลาอยู่กับพวกเขาบ้างหรือเปล่า? ขอให้พวกเราปกป้องพวกเขาเพื่อที่ชีวิตและความฝันของพวกเขาจะไม่สูญสลายไป ขอให้พวกเราจะไม่ต้องรู้สึกเสียใจว่าพวกเราไม่ได้เอาใจใส่พวกเขาอย่างเพียงพอต่อผู้ที่รักพวกเราและให้ชีวิตแก่พวกเรา

        ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก ปู่ย่าตายายและผู้สูงอายุเป็นอาหารหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเรา พวกเราต้องมีความกตัญญูต่อพวกเขาสำหรับสายตาที่คอยเฝ้าระวังดูแลพวกเรา แขนที่คอยโอบอุ้มพวกเรา ตักที่พวกเราเคยนั่ง มือที่อุ้มชูและฉุดให้พวกเราลุกขึ้นและเล่นกับพวกเราเพื่อทำให้พวกเราร่าเริงบันเทิงใจ ขอให้พวกเราโปรดอย่าได้ลืมพวกเขา จงฟังพวกเขา อย่ามองข้ามพวกเขา ขอให้พวกเราชื่นชมและใช้เวลาอยู่กับพวกเขา พวกเราจะได้ประโยชน์มากและทั้งคนหนุ่มสาวและผู้สูงอายุเมื่อร่วมมือกันพวกเราก็จะทำให้โต๊ะอาหารแห่งการแบ่งปันสำเร็จไปและได้รับพระพรจากพระเจ้า

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์พระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและไตร่ตรอง)