วันศุกร์, 10 มกราคม 2568
  

ข้อคิดข้อรำพึง อาทิตย์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา ปี B

ข้อคิดข้อรำพึง
อาทิตย์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา ปี B

“เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่ชายจะหย่ากับภรรยา”

ในพระวรสารของอาทิตย์นี้ พระเยซูเจ้าได้ตรัสสอน 2 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรกเป็นเรื่องที่สวยงามของการแต่งงาน “…ชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน…ดังนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าแยกเลย” เรื่องที่สองคือเรื่องผู้ใดไม่รับพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างเด็กเล็กๆ เขาจะไม่เข้าสู่พระอาณาจักรนั้นเลย

เราจะพิจารณาเรื่องแรกนี้มากหน่อย เนื่องด้วยสอดคล้องกับบทอ่านแรกที่มาจากหนังสือปฐมกาลด้วย องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงทำให้มนุษย์หลับสนิท และขณะที่เขากำลังนอนหลับ ก็ทรงเอากระดูกซี่โครงของเขาออกมาหนึ่งซี่…ทรงเอาซี่โครงนั้นมาสร้างหญิง แล้วทรงนำมาให้มนุษย์ มนุษย์จึงพูดว่า “นี่คือกระดูกจากกระดูกของฉัน และเนื้อจากเนื้อของฉัน นางจะมีชื่อว่าหญิง เพราะนางมาจากชาย”

เมื่อเราอ่านเรื่องการสร้างมนุษย์ในหนังสือปฐมกาล บางทีอาจมีรอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปาก เพราะผู้นิพนธ์วาดภาพพระเจ้าเหมือนกับมนุษย์คนหนึ่ง อันที่จริง นี่เป็นรูปแบบการเขียนว่าด้วยลักษณะทางมานุษยวิทยา (anthropomorphic style) ผู้นิพนธ์จากทั้งสองสายที่เล่าเรื่องนี้ คือ สายธรรมประเพณี J (Yahwist) ซึ่งเก่าแก่ที่สุด (ราวศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตศักราช) ใช้ชื่อพระเจ้าว่า “ยาห์เวห์” โดยตลอด กล่าวถึงพระเจ้าในรูปของมนุษย์ และเล่าเรื่องอย่างมีชีวิตชีวา และสายธรรมประเพณี P(Priestly)เป็นของแวดวงสมณะที่กรุงเยรูซาเล็ม ราวศตวรรษ 6 ก่อนคริสตศักราช มีคำสอนแนวปฏิบัติที่โบราณมากๆ (จากหนังสือพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ปัญจบรรพ โดยคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อคริสตศาสนธรรม แผนกพระคัมภีร์) จะอย่างไรก็ตาม ทั้งสองสายที่เล่าเรื่องนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นนักเทววิทยาที่แท้จริง ที่หยั่งรู้อย่างลึกซึ้งในเรื่องที่เกี่ยวกับพระและมนุษย์

เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาได้ให้อรรถาธิบายเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ รวมไปถึง ความยิ่งใหญ่ ความสวยงาม และแก่นแท้ของการแต่งงาน ไม่มีใครพรรณนาได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว

ในเมื่อพระเจ้าทรงสร้างทั้งชายและหญิง และทรงให้เขาเป็นสามีภรรยากัน เป็นส่วนเติมเต็มของกันและกัน เพราะฉะนั้น “ชายจะละบิดามารดาของตนไปผูกพันกับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน”

ความสวยงามของเรื่องนี้ดีอยู่แล้วในหนังสือปฐมกาล ดังนั้น พระเยซูเจ้าจึงมิทรงเพิ่มสิ่งใด แต่ทรงพยายามที่จะทำให้คนอื่นๆ เข้าใจความหมายดั้งเดิมที่ถูกต้องนี้

แต่ที่มนุษย์ดัดแปลงข้อคำสอนนี้ให้ต่างไปจากดั้งเดิม เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง เป็น “เพราะใจดื้อแข็งกระด้างของท่าน” ดังที่พระเยซูเจ้าตรัสไว้ในพระวรสาร แต่เดิมไม่ได้เป็นเช่นนี้ (จากหนังสือ Speak, Lord! Year B.- Fr.Herman Mueller, SVD.)

ขอยกตัวอย่างดีๆ สักเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับหญิงชายที่แต่งงานกัน และรักกัน และเห็นคุณค่าความสำคัญของอีกฝ่าย

ย้อนไปกาลครั้งหนึ่งเป็นเวลานานมาถึง 500 ปีแล้ว เรื่องเกิดที่ป้อมปราการแห่งหนึ่งในเมืองไวนสเบิร์ก ประเทศเยอรมันนี ซึ่งกำลังตกอยู่ในวงล้อม และกำลังจะยอมแพ้ต่อข้าศึก มีการเจรจากันก่อนยอมแพ้ ผู้บัญชาการทัพของข้าศึกยินยอมให้ผู้หญิงและเด็กทุกคนออกไปจากเมืองได้ก่อนจะเข้าโจมตี ผู้หญิงสามารถเอาของรักที่มีค่าที่สุดไปได้หนึ่งชิ้น โดยต้องใช้วิธีแบกหรือถือไปกับตัวเท่านั้น ในขณะที่เด็กๆ และพวกผู้หญิงกำลังอพยพออกจากเมืองป้อมนั้น พวกเธอก็ได้แบกเอาของมีค่าที่สุดใส่หลังออกมาด้วย นั่นก็คือ สามีของพวกเธอนั่นเอง (With Eyes Fixed on Jesus; Cycle B, John Chambers, S.J.)

ถ้าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือเกิดขึ้นในอนาคตอีก 100 ปี หรือ 200 ปีข้างหน้า ภาพการแบกของมีค่าที่สุดชิ้นเดียวจะเหมือนกันหรือไม่ น่าสงสัยจริงๆ !

(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2012)