ข้อคิดข้อรำพึง
อาทิตย์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา ปี B
“บุตรแห่งมนุษย์มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น”
เวลานั้น ยากอบและยอห์นบุตรของเศเบดี เข้าไปหาและทูลขอพระเยซูเจ้าว่า “ขอโปรดให้ข้าพเจ้าคนหนึ่งนั่งข้างขวา อีกคนหนึ่งนั่งข้างซ้ายของพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์เถิด” พูดง่ายๆ ขอตำแหน่งใหญ่ๆ และโดดเด่นในพระอาณาจักรของพระเจ้านั่นเอง
แต่พระเยซูเจ้ากลับสอนให้เขารู้ว่า ตำแหน่งที่สำคัญเช่นนี้อยู่ที่การรับใช้ผู้อื่นเท่านั้น การทำตนรับใช้คนอื่นๆ ในโลกนี้ จะทำให้เป็นใหญ่ในพระอาณาจักรสวรรค์ “เพราะบุตรแห่งมนุษย์ มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์ทั้งหลาย”
นี่เป็นบทสรุปชีวิตและภารกิจของพระเยซูเจ้าที่ตรงและชัดเจนมากที่สุด ดังนั้น การจะทูลขออะไรจากพระองค์ก็ควรจะเข้าใจชีวิตและภารกิจของพระองค์ให้ดีเสียก่อน ไม่ใช่ขอแบบสุ่มสี่สุ่มห้าเอาประโยชน์เข้าหาตัวไว้ก่อน
พระเยซูเจ้าทรงทราบทันทีที่ศิษย์สองคนนั้นขอเพราะเข้าใจในพระองค์ผิดไป “ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ท่านดื่มถ้วยซึ่งเราจะดื่มได้ไหม หรือรับการล้างที่เราจะรับได้หรือไม่” ทั้งสองรีบตอบว่า “ได้ พระเจ้าข้า” ทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจเหมือนเดิม
ถ้าเขาทั้งสองจะเข้าใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ทราบว่าเขาจะรีบตอบว่าได้โดยทันทีหรือเปล่า เพราะว่าสำหรับพระเยซูเจ้าแล้ว ถ้วยซึ่งพระองค์จะทรงดื่มเป็นถ้วยแห่งความระทมทุกข์ ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นถ้วยแห่งความรอด และการรับการล้างที่จะทรงรับก็หมายถึงความตายและการกลับคืนชีพ สำหรับพระเยซูเจ้าแล้ว ความตายและการกลับคืนชีพมาเป็นแพ็คเก็จหรือชุดเดียวกันเสมอ คือซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง อยากได้หนึ่งอย่างแถมให้อีกหนึ่งอย่าง สานุศิษย์ 2 คนนี้อยากได้เกียรติรุ่งโรจน์ใช่ไหม ต้องรับการล้างหรือความตายเสียก่อน หนทางสู่ชีวิตนิรันดรเป็นแบบนี้ไม่ใช่แบบที่ชาวโลกคิดกันอย่างง่ายๆ ขอให้ได้เสวยสุขโดยมิต้องข้องแวะกับความลำบากใดๆ เลย ขอเช่นนี้อาจได้รับบ้างตามวิถีของโลกนี้ แต่ในวิถีแห่งสวรรค์ ไม่มีหนทางอื่นนอกจากสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงสอน และทรงเป็นแบบอย่างให้กับชาวเราทั้งหลาย
ขอยกตัวอย่างคริสตชนชาวญี่ปุ่นที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ชื่อ คากาวา(Kagawa) เมื่อเขาได้ยินเรื่องชีวิตของพระเยซูเจ้าแต่แรก เขาร้องอุทานว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนพระคริสต์ของพระองค์”
และเพื่อจะเป็นเหมือนพระคริสต์ คากาวาก็ละทิ้งบ้านที่สะดวกสบาย และไปอาศัยในสลัมของกรุงโตเกียว ที่นั่นเขาแบ่งปันทรัพย์สมบัติที่เขามีให้แก่ทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ครั้งหนึ่งเขาบริจาคเสื้อผ้าทั้งหมดที่เขามี เหลือแต่กิโมโนเก่าๆ ขาดๆ อยู่ตัวเดียวที่เขาใส่อยู่ ในอีกโอกาสหนึ่งแม้ว่าในขณะนั้นเขาป่วยหนัก แต่เขาก็ยังเทศน์สอนประชาชนกลางสายฝนพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “พระเจ้าเป็นองค์ความรัก พระเจ้าเป็นองค์ความรัก ที่ใดมีรัก พระเจ้าประทับที่นั่น” (มาจากหนังสือเทศน์ของ Mark Link, SJ)
พี่น้องครับ เราอาจจะยังไม่ซาบซึ้งจิตตารมณ์ของการให้และรับใช้ผู้อื่นถึงขั้นของนักบุญฟรังซิส อัสซีซี หรือของคากาวา แต่เราก็สามารถทำอะไรได้บ้างแหละครับ ไม่ต้อง ไปขายบ้าน ไม่ต้องมาเชียร์ให้พ่อขายวัดเอาเงินไปให้คนยากคนจน ที่จริงเราทำอะไรได้หลายอย่าง เช่น การรับใช้ผู้อื่นเหมือนพระเยซูเจ้า ควรเริ่มที่บ้านของเรา ที่ทำงานของเรา ถ้าเราทำได้ทีละเล็กละน้อย ก็จะค่อยๆ แผ่ขยายออกไป แต่ถ้าเราไม่เริ่มการรับใช้คนอื่นๆ ที่บ้านของเราก่อน ไม่มีวันที่เราจะทำที่อื่นได้เลย
(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดพระกุมารเยซู เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2009)