วันอังคาร, 7 มกราคม 2568
  

คำปราศรัยของพระสันตะปาปาฟรานซิสในโอกาสครบรอบปีที่ 56 แห่งวันสันติภาพสากล

“ไม่มีใครสามารถรอดปลอดภัยได้ด้วยตัวคนเดียว”

การต่อสู้กับโรคโควิด 19 ด้วยกัน, ลงเรือด้วยกันสู่เส้นทางแห่งสันติภาพ

            “เมื่อพิจารณาถึงช่วงเวลาและโอกาสในขณะนี้ พี่น้องทั้งหลาย ไม่จำเป็นที่จะเขียนบอกท่านเรื่องวันเวลาที่กำหนด ท่านรู้อยู่แล้วว่า วันขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเหมือนขโมยที่มาตอนกลางคืน” (จดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาว เธสะโลนิกา ฉบับที่หนึ่ง, 5:1-2).

            1. จากคำกล่าวข้างต้น นักบุญเปาโล อัครสาวกได้ให้กำลังใจชาวเธสะโลนิกาซึ่งยังคงเชื่อมั่นในระหว่างที่รอคอยการกลับมาของพระเยซูคริสต์ ถึงกระนั้นพวกเขายังคงมองเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์และสถานการณ์ต่าง ๆ ในโลกตามความเป็นจริง เมื่อชีวิตของเหตุการณ์ร้ายแรงถาโถมพวกเรา ทำให้พวกเราต่างก็รู้สึกจมดิ่งอยู่ในมรสุมแห่งความอยุติธรรม และความเจ็บปวดอันมืดมิด พวกเราต่างถูกเรียกให้น้อมรับความหวัง และความเชื่อในพระเจ้าเข้ามาสู่จิตใจของพวกเรา  พระเจ้าซึ่งทรงเผยพระองค์ และทรงเคียงข้างพวกเราด้วยความรักความอ่อนโยน คอยพยุงพวกเรา เมื่อพวกเราอ่อนแรง และเหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ทรงนำทางให้แก่พวกเรา ด้วยเหตุนี้ นักบุญเปาโลจึงเน้นย้ำชาวสะโลนิกา ให้ตื่นตัว แสวงหาแต่ความดี ความยุติธรรม และความจริง : “ดังนั้น เราอย่าหลับใหลเหมือนคนอื่น จงตื่นอยู่เสมอและจงรู้จักประมาณตน” (ธส. 5:6) สิ่งที่นักบุญเปาโลพูดไว้นั้นเป็นการเชื้อเชิญให้พวกเราเตรียมพร้อมเสมอ และไม่ตกอยู่ในความกลัว ความโศกเศร้า หรือยอมจำนน หรือตกเป็นเหยื่อของสิ่งรบกวนที่ทำให้เสียสมาธิหรือความท้อแท้หมดหวัง ดังนี้แล้ว พวกเราควรเป็นเหมือนป้อมปราการที่คอยสอดส่อง และพร้อมที่จะชำเลืองมองแสงรุ่งอรุณ ถึงแม้ว่ากำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุด

            2. โรคระบาดโควิด-19 นำพาพวกเราไปสู่ค่ำคืนที่แสนมืดมิด โรคร้ายดังกล่าวทำให้ชีวิตประจำวันของพวกเราสั่นคลอน และเปลี่ยนแปลงแผนการต่างๆ รวมทั้งกิจวัตรประจำวันของพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้นยังขัดความสงบสุขที่เห็นได้อย่างเด่นชัดในสังคมที่มั่งคั่งร่ำรวย โรคโควิด-19 ส่งผลให้ผู้คนรู้สึกสับสน และเจ็บปวดทรมาน อีกทั้งยังทำให้พี่น้องชายหญิงจำนวนมากต้องสูญเสียชีวิต

            ท่ามกลางความท้าทายที่ไม่อาจคาดคิดซึ่งได้โหมกระหน่ำเข้ามา และในขณะที่โลกกำลังเผชิญหน้ากับความสับสน แม้กระทั่งจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์ เหล่าบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทั่วโลกต่างระดมกำลังเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดที่แสนสาหัส พร้อมกับค้นหาแนวทางการรักษา ในขณะเดียวกัน ผู้ที่มีอำนาจทางการเมืองต่างออกมาตรการเพื่อที่จัดการและตอบรับสถานการณ์ฉุกเฉินนี้

            นอกจากมุมมองทางวัตถุแล้ว โรคระบาดโควิด-19 ยังส่งผลให้ผู้คนและครอบครัวมากมายต่างรู้สึกอึดอัดใจ การกักตัวที่กินเวลาเนิ่นนาน และมาตรการต่าง ๆ ที่จำกัดเสรีภาพ ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดใจดังกล่าว อันส่งผลกระทบระยะยาวต่อผู้คนและครอบครัวต่าง ๆ

            พวกเราไม่สามารถมองข้ามรอยแตกร้าวต่าง ๆ ในระเบียบทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งการแพร่ระบาดของโรคร้ายโควิด-19 ได้เผยให้พวกเราเห็น รวมทั้งความขัดแย้งและความไม่เท่าเทียมที่ได้ปรากฎขึ้นหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคร้ายโควิด-19 ซึ่งคุกคามความมั่นคงทางอาชีพของผู้คนจำนวนมาก พร้อมทั้งซ้ำเติมปัญหาความรู้สึกโดดเดี่ยวในสังคมของพวกเราซึ่งนับวันจะยิ่งเลวร้าย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ยากไร้และผู้ที่ขัดสน พวกเราจำเป็นต้องคิดถึงแรงงานนอกระบบหลายล้านคนทั่วโลก ซึ่งถูกทิ้งไว้โดยไม่มีงานทำหรือความช่วยเหลือใด ๆ ในระหว่างที่มีมาตรการปิดเมือง (lockdown)

            น้อยครั้งที่ผู้คนและสังคมจะสามารถพัฒนาในสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกพ่ายแพ้และขมขื่น ความรู้สึกดังกล่าวได้ลดความพยายามที่จะผดุงไว้ซึ่งสันติภาพ แต่กลับไปกระตุ้นความขัดแย้งทางสังคม ความไม่พอใจ และความรุนแรงในหลากหลายรูปแบบ  ในความจริงแล้ว โรคระบาดดูเหมือนจะสร้างความปั่นป่วนในภูมิภาคที่ดูสงบสุขที่สุดในโลก และเผยให้เห็นจุดบอดต่าง ๆ มากมาย

            3. หลังจากสามปีที่เกิดโรคระบาด ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะตั้งคำถาม เรียนรู้ เติบโต และให้พวกเราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ในฐานะที่พวกเราเป็นปัจเจกชน และอยู่รวมกันเป็นชุมชน นี่ถือเป็นช่วงเวลาอันแสนพิเศษที่พวกเราจะเตรียมตัวสำหรับ “วันแห่งพระเจ้า” จากเหตุการณ์มากมาย ตัวข้าพเจ้าเองสังเกตเห็นว่าพวกเราไม่เคยเหมือนเดิม หลังจากที่เผชิญกับวิกฤติ: พวกเราพัฒนาขึ้นไม่ก็แย่ลง ในวันนี้ พวกเราตั้งคำถามว่า: พวกเราได้เรียนรู้อะไรจากโรคระบาดโควิด-19 บ้าง? แนวทางใหม่อันใดที่พวกเราควรเดิน เพื่อที่พวกเราจะได้ออกจากความเคยชินในอดีตควรนำมาไตร่ตรองเพื่อเตรียมความพร้อมให้ดียิ่งขึ้น และกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งใหม่ ๆ ? อะไรคือเครื่องหมายแห่งชีวิตและความหวังที่พวกเราเห็น เพื่อที่จะช่วยพวกเราให้ก้าวไปข้างหน้า และทำให้โลกใบนี้เป็นสถานที่ที่น่าอยู่มากยิ่งขึ้น ?

            แน่นอนว่า หลังจากที่พวกเรารับรู้ถึงความอ่อนแอในชีวิตของพวกเรา และโลกที่หมุนอยู่รอบตัวเรา พวกเราสามารถสรุปได้ว่าบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พวกเราเรียนรู้จากโรคร้ายโควิด-19 นั้น ได้แก่ พวกเราทุกคนต้องการกันและกัน ทั้งนี้ขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเรา และในขณะเดียวกันก็เป็นขุมทรัพย์ที่เปราะบางที่สุด ก็คือ การที่ทุกคนบนโลกล้วนเป็นมนุษย์เหมือนกัน เป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน เป็นบุตรของพระเจ้า ไม่มีใครสามารถรอดได้ด้วยตัวคนเดียว ดังนี้แล้ว พวกเราจำเป็นต้องค้นหาและสนับสนุนค่านิยมที่เป็นสากลร่วมกันอย่างเร่งด่วน ซึ่งเป็นเครื่องชี้นำสำหรับการเจริญเติบโตของความเป็นพี่น้องระหว่างมวลมนุษย์ พวกเรายังเรียนรู้อีกว่าพวกเราเชื่อมั่นในความก้าวหน้า เทคโนโลยี และผลลัพธ์ของโลกาภิวัตน์มากเกินไป จนทำให้ความเชื่อมั่นดังกล่าวแปรเปลี่ยนเป็นความมัวเมาในความเป็นปัจเจก และการเคารพบูชาในสิ่งที่ไร้สาระ และความมัวเมานี้ใช้เป็นเครื่องประนีประนอมที่ใช้กับความยุติธรรม ความเป็นหนึ่งเดียวกัน และสันติภาพอันเป็นพื้นฐานซึ่งพวกเราเคยแสวงหาอย่างไม่ลดละ ทั้งนี้ในโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วนี้ ปัญหาจากความไม่เท่าเทียมกัน ความอยุติธรรม ความยากจน และผู้คนที่อยู่ชายขอบสังคมยังคงจุดชนวนสถานการณ์ที่ไม่สงบและความขัดแย้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังก่อให้เกิดสถานการณ์ความรุนแรง และแม้กระทั่งสงคราม

            การแพร่ระบาดของโควิด-19 เผยให้พวกเราเห็นถึงปัญหาเหล่านี้ ถึงกระนั้น การแพร่ระบาดนั้นได้ส่งผลทางบวก โดยทำให้พวกเราเรียนรู้ว่าพวกเราจะต้องกลับไปสู่ความอ่อนน้อมถ่อมตน พิจารณาถึงการบริโภคที่เกินควร และความหมายของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งทำให้พวกเรารับรู้ถึงความเจ็บปวดของผู้อื่นมากกว่าเดิม และขานรับต่อความต้องการของพวกเขาเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้พวกเราอาจคิดถึงความพยายามต่าง ๆ ที่ผู้คนมากมายต่างทำงานอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเพื่อช่วยเหลือทุกคนอย่างสุดความสามารถ จากวิกฤติโควิด-19 และความวุ่นวายจากโรคระบาด โดยในบางกรณีนั้นแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญอย่างแท้จริง

            ประสบการณ์นี้ทำให้พวกเราทุกคนต้องรับรู้ว่าพวกเราต้องการการพึ่งพากันและกัน ซึ่งรวมไปถึงประชากรและประเทศต่าง ๆ เพื่อที่พวกเราจะนำคำว่า “ด้วยกัน” กลับมาสู่ศูนย์กลางอีกครั้ง และจากคำว่า “ด้วยกัน” ในความเป็นภราดรภาพ และในความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว พวกเราได้สร้างสันติภาพ พร้อมทั้งผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม และออกจากภัยพิบัติที่แสนร้ายแรง ในความจริงแล้ว การรับมือโรคระบาดที่ได้ผลมากที่สุดมาจากกลุ่มสังคม สถาบันของภาครัฐและเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งละทิ้งผลประโยชน์ส่วนตน แต่ผนวกกำลังเพื่อที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทาย มีเพียงแค่สันติภาพที่มาจากความรักฉันพี่น้องซึ่งไม่ได้คิดถึงประโยชน์ส่วนตนเท่านั้นที่จะช่วยพวกเราให้เอาชนะวิกฤติต่าง ๆ ทั้งในระดับบุคคล สังคม จนไปถึงระดับโลก

            4. อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลาที่พวกเรากล้าหวังว่า เมื่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤติที่สุด จบสิ้นลง ภัยพิบัติร้ายอันใหม่ต่อมนุษยชาติก็บังเกิดขึ้น พวกเราเห็นหายนะอีกอย่าง นั่นก็คือ สงคราม ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับโรคโควิด-19 ทว่าเป็นผลจากการตัดสินใจของมนุษย์ที่น่าประนาม สงครามในประเทศยูเครนกำลังพรากชีวิตของผู้บริสุทธิ์ พร้อมกับแผ่ขยายความไม่ปลอดภัยแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโดยตรง และแก่ผู้คนอื่น ๆ ทั่วโลก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยผู้คนที่อยู่ห่างจากยูเครนหลายพันกิโลเมตรต่างก็ได้รับผลกระทบทางอ้อม พวกเราจำเป็นต้องคิดถึงปัญหาธัญพืชขาดตลาด และราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมาก

            แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่ยุคหลังโควิด-19 ที่พวกเราหวังหรือคาดคิดเอาไว้ สงครามในยูเครน พร้อมกับความขัดแย้งอื่น ๆ ทั่วโลก เผยให้เห็นมนุษยชาติที่เสื่อมถอย ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงแค่กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสงครามโดยตรง ในขณะที่วัคซีนได้ถูกค้นพบเพื่อรับมือกับโควิด-19 แต่ทว่าทางออกสำหรับสงครามนั้นยังไม่ถูกค้นพบ แน่นอนว่าการเอาชนะไวรัสสงครามนั้นยากกว่าไวรัสตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในร่างกายของพวกเรา นั่นก็เพราะว่าเวลาที่ไวรัสสงครามเข้ามา มันไม่ได้มาจากข้างนอกตัวของพวกเรา แต่มาจากภายในจิตใจของพวกเราซึ่งถูกกัดกินโดยบาป (เทียบ มาร์โก 7:17-23)

            5. แล้วพวกเราต้องทำอย่างไรหรือทำอะไรบ้าง? อย่างแรกนั้น ให้ปล่อยใจของพวกเราสู่ประสบการณ์จากวิกฤติที่พวกเราเผชิญ เพื่อที่พระเจ้า ในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้ เปลี่ยนเกณฑ์ที่พวกเราใช้เป็นประจำในการมองโลก พวกเราไม่สามารถคิดได้อีกต่อไปว่าพวกเราจะรักษาเพียงแค่ผลประโยชน์ส่วนตัวหรือประเทศเท่านั้น แต่พวกเราต้องคิดถึงสิ่งต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม พร้อมกับจิตสำนึกที่ว่าพวกเราเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน กล่าวคือ “พวกเรา” ที่ยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนต่างเป็นพี่น้องกัน พวกเราไม่สามารถคิดอยู่เพียงว่าต้องปกป้องตัวพวกเราเอง แต่ถึงเวลาแล้วที่พวกเราทุกคนจะต้องช่วยเหลือกันเพื่อรักษาสังคมและโลกของพวกเรา โดยวางรากฐานสำหรับโลกที่มีความยุติธรรมและสันติภาพมากกว่าในอดีต และยืนยันที่จะทำประโยชน์ต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง

            เพื่อที่จะทำสิ่งเหล่านี้ และเพื่อที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นหลังจากวิกฤติโควิด-19 พวกเราไม่สามารถมองข้ามข้อเท็จจริงพื้นฐานได้ อันได้แก่ วิกฤติทางศีลธรรม สังคม การเมือง และเศรษฐกิจ โดยวิกฤติเหล่านี้ที่พวกเรากำลังเผชิญนั้นล้วนเกี่ยวข้องกันทั้งหมด และสิ่งที่พวกเราเห็นเป็นปัญหาเดี่ยวนั้น อันที่จริงเป็นสาเหตุและผลลัพธ์ของปัญหาเดี่ยวอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงต่างถูกเรียกเพื่อเผชิญหน้ากับความท้าท้ายของโลก ด้วยเจตนาแห่งความรับผิดชอบและความเห็นอกเห็นใจ พวกเราต้องกลับมาพิจารณาเรื่องระบบสาธารณสุขสำหรับทุกคนอีกครั้ง พวกเราจำเป็นต้องสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ที่ส่งเสริมสันติภาพ และหยุดความขัดแย้งและสงครามซึ่งยังคงก่อให้เกิดความยากจนและการสูญเสีย พวกเราจำเป็นต้องดูแลบ้านของพวกเราร่วมกัน โดยใช้มาตราการที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเร่งด่วน พวกเราต้องต่อสู้กับไวรัสความไม่เท่าเทียม และรับรองว่ามีอาหารและงานที่มีเกียรติสำหรับทุกคน โดยช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงค่าแรงขั้นต่ำ และตกอยู่ในความยากลำบาก ผู้ที่ต้องเผชิญกับความหิวโหยจำนวนมากยังคงเป็นปัญหาที่มิอาจจะแก้ไข พวกเรายังจำเป็นต้องสร้างนโยบายที่เหมาะสมเพื่อที่จะต้อนรับและช่วยเหลือผู้อพยพ รวมทั้งผู้ที่ถูกสังคมทอดทิ้งให้สามารถเข้าสู่สังคม หากแต่เพียงพวกเราปฏิบัติตนต่อสถานการณ์เหล่านี้ ด้วยความใจกว้างและไม่เห็นแก่ตัวอันได้รับการดลใจจากความรักที่ไม่สิ้นสุดและเปี่ยมด้วยความเมตตาของพระเจ้า พวกเราก็จะสามารถสร้างโลกใหม่ และมีส่วนในการขยายพระอาณาจักรของพระองค์  ซึ่งเป็นพระอาณาจักรแห่งความรัก ความยุติธรรม และสันติสุข

            ข้าพเจ้าขอแบ่งปันการไตร่ตรองเหล่านี้ โดยข้าพเจ้าหวังว่า ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง พวกเราสามารถเดินทางไปด้วยกัน และสามารถเก็บบทเรียนจากหน้าประวัติศาสตร์ที่สั่งสอนพวกเรา พ่อขออวยพรผู้นำรัฐและผู้นำรัฐบาล ผู้นำจากองค์กรนานาชาติ และผู้นำศาสนาต่าง ๆ แด่ชายหญิงทุกคนผู้มีน้ำใจดี พ่อขออวยพรให้พวกท่านซึ่งเป็นนักสร้างสันติภาพ สามารถทำงานในแต่ละวัน เพื่อที่จะสร้างปีที่ดี ขอให้พระแม่มารีย์พรหมจารี ผู้ทรงเป็นมารดาของพระเยซูคริสต์ และราชินีแห่งสันติสุข วิงวอนเพื่อชาวเราและชาวโลกด้วยเทอญ

จากนครรัฐวาติกัน วันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 2022

ฟรานซิส

(วิษณุ ธัญญอนันต์ และธัญภรณ์ ลีกำเนิดไทย – เก็บคำปราศรัยของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและไตร่ตรอง)