วันอาทิตย์, 9 มีนาคม 2568
  

สาส์นของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส โอกาสรณรงค์ในเทศกาลมหาพรต ค.ศ.2025

สาส์นของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส

โอกาสรณรงค์ในเทศกาลมหาพรต ประจำปี ค.ศ. 2025/2568

 “ให้เราเดินทางไปด้วยกันในความหวัง”

พี่น้องชายหญิงที่รัก

            เราทั้งหลายเริ่มต้นการจาริกแห่งมหาพรตภายในความเชื่อและความหวังดังเช่นทุกปีภายในพิธีรับเถ้าซึ่งเป็นการแสดงความสำนึกถึงโทษบาป พระศาสนจักรผู้เป็นมารดาและอาจารย์ของเราทั้งหลายเชื้อเชิญให้พวกเราเปิดใจน้อมรับพระหรรษทานของพระเจ้า เพื่อที่เราทั้งหลายจะได้
เฉลิมฉลองชัยชนะแห่งปัสกาของพระคริสตเจ้าเหนือบาปและความตายด้วยความปีติยินดีอันยิ่งใหญ่ ซึ่งได้ทำให้นักบุญเปาโลร้องประกาศออกมาว่า “ความตายถูกชัยชนะกลืน ความตายเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ไหน ความตายเอ๋ย พิษของเจ้าอยู่ไหน” (1 คร. 15,54-55) แท้จริงแล้ว พระเยซูคริสตเจ้าผู้ทรงถูกตรึงกางเขนและกลับคืนพระชนมชีพ ทรงเป็นหัวใจแห่งความเชื่อของเราทั้งหลาย และทรงเป็นหลักประกันแห่งความหวังที่เราทั้งหลายมีต่อพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าพระบิดา คือ
ชีวิตนิรันดร ซึ่งได้เป็นจริงแล้วภายในองค์พระบุตรสุดที่รักของพระองค์ (เทียบ ยน. 10,28; 17,3) (เทียบ สมณสาสน์เวียน Dilexit nos, 24 ตุลาคม 2024, ข้อ 220)

            ในเทศกาลมหาพรตในปีนี้ที่เราทั้งหลายกำลังมีส่วนในพระหรรษทานแห่งปีศักดิ์สิทธิ์
พ่อขอเสนอบทรำพึงไตร่ตรองในบางประเด็นเกี่ยวกับความหมายของการเดินทางไปด้วยกันในความหวัง และเกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงมีพระเมตตาเชื้อเชิญให้เราทั้งหลายกลับใจ ทั้งในฐานะปัจเจก และในฐานะประชาคม

            ประเด็นแรกสุด คือ เรื่องการเดินทาง คำขวัญของปีศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า “บรรดาผู้จาริกแห่งความหวัง” ทำให้เราทั้งหลายนึกถึงการเดินทางอันยาวไกลของประชากรอิสราเอลที่มุ่งสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา ดังที่ได้มีการเล่าไว้ในหนังสืออพยพ เส้นทางอันยากลำบากจากความเป็นทาสสู่ความเป็นอิสระนี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมุ่งหวัง และพระองค์ก็ได้ทรงนำทาง เหตุว่าพระเจ้าทรงรักประชากรของพระองค์ และทรงถือซื่อสัตย์ต่อพวกเขาในทุกเมื่อ ในยามที่เราทั้งหลายนึกถึงเรื่องการอพยพใน
พระคัมภีร์ ย่อมเป็นการยากที่เราทั้งหลายจะไม่คำนึงถึงบรรดาพี่น้องชายหญิงซึ่งกำลังหลบหนีความทุกข์ยากและความรุนแรงไปแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าสำหรับตนเองและคนที่เขารักอยู่ในทุกวันนี้ ดังนั้น เสียงเรียกประการแรกสู่การกลับใจ ย่อมมาจากความตระหนักที่ว่า เราทุกคนล้วนเป็นผู้จาริกอยู่ในชีวิตนี้ พวกเราแต่ละคนได้รับการเชื้อเชิญให้หยุดพักและใช้เวลาถามตนเองว่า ชีวิตของเราเองสะท้อนความเป็นจริงดังกล่าวอยู่มากน้อยแค่ไหน เราทั้งหลายกำลังเดินทางอยู่หรือไม่ หรือว่าเรากำลังยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน โดยอาจเป็นเพราะความกลัว ความสิ้นหวัง หรือความลังเลไม่ยอมออกนอกพื้นที่ที่ทำให้เราทั้งหลายรู้สึกสบายใจ รวมทั้งให้เราถามตนเองว่า] เราทั้งหลายกำลังแสวงหาหนทางที่จะละทิ้งโอกาสบาป ตลอดจนละทิ้งสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ลดทอนคุณค่าศักดิ์ศรีของพวกเราเองไว้ข้างหลังหรือไม่ เป็นการดีหากว่าเราทั้งหลายจะฝึกตนในเทศกาลมหาพรตนี้ด้วยการเปรียบเทียบชีวิตประจำวันของพวกเราเองกับชีวิตของผู้ย้ายถิ่นหรือคนต่างด้าว และเรียนรู้ที่จะมีความเห็นอก
เห็นใจต่อสิ่งที่พวกเขาได้ประสบ เพื่อที่เราทั้งหลายจะได้ค้นพบว่าพระเจ้าทรงปรารถนาให้เรากระทำสิ่งใด และเพื่อที่เราจะก้าวเดินไปบนเส้นทางของเราเองสู่บ้านของพระบิดาได้อย่างดียิ่งขึ้น การกระทำเช่นนี้ย่อมเป็น “การสำรวจมโนธรรม” ที่ดีสำหรับเราทั้งหลาย ซึ่งต่างก็เป็นผู้เดินทางกันทั้งนั้น

            ประเด็นที่สอง คือ การเดินทางไปด้วยกัน พระศาสนจักรได้รับการเรียกให้ก้าวเดินไปด้วยกัน หรือที่เรียกว่า “ซีนอด” (เทียบ บทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาในพิธีสถาปนาบุญราศีโจวันนี
บัตติสตา สกาลาบรีนี และบุญราศีอาร์เตมีดา ซัตตี เป็นนักบุญ, 9 ตุลาคม 2022) คริสตชนย่อมได้รับการเรียกให้ก้าวเดินอยู่เคียงข้างผู้อื่น ไม่ใช่ให้เดินทางไปเพียงลำพัง พระจิตเจ้าย่อมทรงกระตุ้นให้เราทั้งหลายไม่หมกมุ่นอยู่แต่กับตัวเอง หากแต่ให้เราทั้งหลายละทิ้งอัตตาของเราไว้เบื้องหลัง และให้เราก้าวเดินอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อไปหาพระเจ้า และไปหาพี่น้องชายหญิงของพวกเรา (เทียบ เรื่องเดียวกัน) การเดินทางไปด้วยกันย่อมหมายถึงการเสริมสร้างเอกภาพบนพื้นฐานแห่งศักดิ์ศรีที่เราทั้งหลายมี
อยู่ร่วมกันในฐานะบุตรชายหญิงของพระเจ้า (เทียบ กท. 3,26-28) และย่อมหมายถึงการเดินทางอยู่เคียงข้างกันและกันโดยไม่ผลักไสหรือเหยียบย่ำผู้อื่น ไม่อิจฉาหรือมีความหน้าซื่อใจคด ไม่ทิ้งผู้ใดไว้
ข้างหลัง และไม่กีดกันผู้ใด ขอให้เราทั้งหลายจงก้าวเดินไปในทิศทางเดียวกัน มุ่งสู่เป้าหมาย
อันเดียวกัน ด้วยความใส่ใจซึ่งกันและกันภายในความรักและความอดทน

            ในเทศกาลมหาพรตนี้ พระเจ้าทรงขอให้เราทั้งหลายพิจารณาทบทวนว่า ในชีวิตของเรา
ในครอบครัวของเรา รวมทั้งในสถานที่ที่เราทำงานและใช้เวลาอยู่นั้น เราทั้งหลายรู้จักก้าวเดินไปด้วยกันกับผู้อื่น รับฟังผู้อื่น และไม่ยอมแพ้ต่อการผจญที่ยั่วยุให้เราทั้งหลายหมกมุ่นอยู่กับตนเองและคิดถึงแต่ความต้องการของตนเองหรือไม่ ขอให้เราถามตนเองต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เราทั้งหลาย ทั้งที่เป็นบิชอป บาทหลวง ผู้ถวายตัว และฆราวาสนั้น เรารู้จักร่วมมือกับผู้อื่นในการทำงานรับใช้
พระอาณาจักรของพระเจ้าหรือไม่ เราได้กระทำตนต้อนรับผู้อื่นอย่างเป็นรูปธรรมทั้งสำหรับคนที่
อยู่ใกล้และคนที่อยู่ห่างไกลออกไปหรือไม่ เราได้ทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งในประชาคมหรือไม่ หรือว่าเรากำลังกีดกันเขาให้อยู่ห่างไกล (เทียบ เรื่องเดียวกัน) สิ่งนี้คือเสียงเรียกประการที่สองสู่การกลับใจ คือเสียงเรียกสู่การก้าวเดินไปด้วยกัน

            ประการที่สาม คือ ขอให้เราทั้งหลายเดินทางไปด้วยกันในความหวัง เหตุว่าเราทั้งหลายล้วนได้รับพระสัญญา ขอให้ความหวังที่ไม่ทำให้งผิดหวัง (เทียบ รม. 5,5) ซึ่งเป็นข่าวสารที่เป็นแกนกลางของปีศักดิ์สิทธิ์นี้ (เทียบ สมณโองการ Spes non confundit, ข้อ 1) จงเป็นสิ่งที่เราทั้งหลายให้
ความสนใจจดจ่อภายในการเดินทางแห่งมหาพรตของเราเองเพื่อมุ่งสู่ชัยชนะแห่งปัสกา ดังที่
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่สิบหกได้ทรงสอนไว้ในสมณสาส์นเวียน Spe salvi ว่า “มนุษย์
ย่อมจำเป็นที่จะต้องได้รับความรักที่ปราศจากเงื่อนไข” เช่นนี้เองที่มนุษย์ต้องการความมั่นใจที่จะทำให้เขากล่าวได้ว่า “ไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือผู้มีอำนาจปกครอง ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต ไม่ว่าฤทธิ์อำนาจใดหรือความสูง ความลึก ไม่มีสรรพสิ่งใด ๆ จะพรากเราได้จากความรักของพระเจ้า ซึ่งปรากฏในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (รม. 8,38-39) (สมณสาสน์เวียน
Spe salvi, 30 พฤศจิกายน 2007, ข้อ 26) พระคริสตเจ้า องค์ความหวังของเรา ทรงกลับคืนพระชนม์แล้ว (เทียบ บทเสริมปัสกา) พระองค์ทรงจำเริญและครองราชย์อยู่ในพระสิริรุ่งโรจน์ ความตายได้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นชัยชนะ และความเชื่อและความหวังอันยิ่งใหญ่ของคริสตชนย่อมมีอยู่ในสิ่งนี้ คือ
การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสตเจ้า

            เช่นนี้เอง เสียงเรียกประการที่สามสู่การกลับใจจึงเป็นเสียงเรียกสู่ความหวัง คือการเชื่อมั่นวางใจในพระเจ้า และในพระสัญญาอันยิ่งใหญ่แห่งชีวิตนิรันดร ขอให้เราทั้งหลายถามตนเองว่า เราเชื่อแน่แท้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงอภัยบาปทั้งหลายให้แก่เรา หรือว่าเรากำลังกระทำตนราวกับว่าเราช่วยตัวเองให้รอดได้? เราทั้งหลายกำลังปรารถนารอคอยความรอด และวอนขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าช่วยเราในการนี้หรือไม่? เราได้สัมผัสถึงความหวังที่ทำให้เราสามารถตีความเหตุการณ์ต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ และบันดาลใจให้เรามีความมุ่งมั่นเพื่อความยุติธรรมและความเป็นพี่น้องกัน ตลอดจนดูแลเอาใจใส่โลกใบนี้ที่เป็นบ้านร่วมกันของพวกเรา ในทางที่จะไม่ทำให้ผู้ใดรู้สึกว่าตนถูกกีดกันหรือไม่?

            พี่น้องชายหญิงที่รัก ความรักของพระเจ้าในพระเยซูคริสตเจ้าย่อมบำรุงเลี้ยงให้เราทั้งหลายมีความหวังที่จะไม่มีทางผิดหวัง (เทียบ รม. 5,5) ความหวังเป็น “สมอเรือที่มั่นคงปลอดภัยสำหรับชีวิต” (เทียบ คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก, ข้อ 1820) ที่ทำให้พระศาสนจักรอธิษฐานภาวนาเพื่อให้ “ทุกคนได้รับความรอดพ้น” (1 ทธ. 2,4) และรอคอยการได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นเจ้าบ่าวของพระศาสนจักร ภายในสิริรุ่งโรจน์แห่งสวรรค์ นักบุญเทเรซาแห่งอาวีลาได้อธิษฐานไว้ว่า “วิญญาณเอ๋ย จงหวัง จงหวังเถิด เจ้าไม่รู้ว่าวันและเวลาจะมาถึงเมื่อไร จงเอาใจใส่ตื่นเฝ้าไว้ เพราะ
ทุกสิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าความปรารถนาที่มั่นใจของเจ้าจะกลับเป็นไม่มั่นใจ และเวลาสั้น ๆ
จะกลับยาวขึ้น” (เสียงเพรียกแห่งวิญญาณถึงพระเจ้า, 15:3) (เทียบ คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก, ข้อ 1821)

            ขอให้พระนางมารีย์พรหมจารี ผู้เป็นมารดาแห่งความหวัง โปรดเสนอวิงวอนเพื่อเราทั้งหลาย และอยู่เคียงข้างเราทั้งหลายภายในการเดินทางแห่งมหาพรตด้วยเทอญ

ให้ไว้ ณ มหาวิหารนักบุญยอห์นที่ลาเตรัน กรุงโรม

เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2025

ตรงกับวันระลึกถึงนักบุญเปาโล มิกิ และเพื่อนมรณสักขี


Download